xs
xsm
sm
md
lg

สปสช.จ่อประกาศเกณฑ์จัดสรรงบบัตรทองใหม่ เลิกกันงบผู้ป่วยนอก โอนให้ รพ.ทั้งหมด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สปสช. เตรียมประกาศเกณฑ์บริหารกองทุนบัตรทอง ปี 60 ยกเลิกกันงบผู้ป่วยนอก โอนให้ รพ. ทั้งหมด จ่ายงบผู้ป่วยในระดับเขตรายเดือน กันงบกรณีเฉพาะไม่เกิน 12% ของงบเหมาจ่ายรายหัว กันเงินไว้ปรับเกลี่ยให้ รพ.สธ. 7.7 พันล้านบาท แก้ปัญหา รพ. ขาดสภาพคล่อง

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า หลังจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้ให้ความเห็นชอบประกาศ “หลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2560” หลังจากนี้ จะมีการนำเสนอต่อ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. เพื่อลงนามประกาศ และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป ซึ่งการจัดสรรงบปี 2560 จะเน้นให้หน่วยบริการมีความคล่องตัวในการให้บริการมากขึ้น ลดวิกฤตการเงิน ลดภาระ ความยุ่งยากในการทำงาน ลดอุปสรรคที่จะทำให้เกิดปัญหาลง และเพิ่มกลไกให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนหน่วยบริการให้การรักษาและดูแลประชาชนอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน

นพ.จเด็จ กล่าวว่า การจัดสรรงบที่มีการเปลี่ยนแปลง หลัก ๆ คือ 1. งบผู้ป่วยนอก เดิมมีการกันงบส่วนหนึ่งเพื่อจัดสรรให้กับหน่วยบริการตามการให้บริการ เป็นการสนับสนุนการจัดทำระบบข้อมูล แต่เพื่อให้งบส่งไปยังหน่วยบริการเพิ่มขึ้นและรวดเร็วขึ้น ในปีนี้จะโอนงบผู้ป่วยนอกทั้งหมดให้กับหน่วยบริการ และจะมีการปรับปรุงตัวชี้วัดอื่น เพื่อประเมินการบริการแทน พร้อมกันนี้ ได้ปรับให้ใช้ข้อมูลประชากร ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2559 เป็นตัวแทนการจ่ายทั้งปี ซึ่งจะทำให้จำนวนงบประมาณที่หน่วยบริการได้รับมีความชัดเจน และได้รับงบประมาณอย่างรวดเร็วขึ้น รวมถึงในส่วนของงบส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคด้วย

2. งบผู้ป่วยในทั่วไป ปรับการบริหารโดยจ่ายงบระดับเขตรายเดือนตามข้อมูลที่หน่วยบริการส่งมาแต่ละเดือน ซึ่งหน่วยบริการจะได้รับเงินตามที่เบิกจ่ายในเดือนนั้นไม่ต้องรอเหมือนในอดีต โดยจะมีการส่งข้อมูลกลับให้หน่วยบริการในแต่ละเขตได้รับทราบบริการที่เกิดขึ้นในเขตเพื่อให้หน่วยบริการประเมินคุณภาพของตนเอง 3. งบบริการกรณีเฉพาะ โดยปี 2560 ได้จำกัดวงเงินที่ชัดเจนไม่เกินร้อยละ 12 ของงบเหมาจ่ายรายหัว เพื่อลดความกังวลของหน่วยบริการว่าจะมีการกันเงินที่ส่วนกลางมากไป โดยปีนี้ยังได้ลดการจัดสรรกองทุนเฉพาะในการดูแลเด็กแรกเกิดให้กลับไปอยู่ในงบเหมาจ่ายตามปกติ  4. งบบริการการแพทย์แผนไทย มีการปรับเพิ่มตามนโยบายนายกรัฐมนตรีที่ให้สนับสนุนการแพทย์แผนไทย โดยได้ปรับเพิ่มจาก 10.77 บาท เป็น 11.61 บาทต่อผู้มีสิทธิ

5. งบบริหารจัดการค่าบริการผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ของหน่วยบริการสังกัด สป.สธ. ให้มีการกันงบไว้ไม่เกิน 1,900 ล้านบาท เพื่อการปรับเกลี่ยงบระดับประเทศ เขต และจังหวัด นอกจากนี้ ยังกันงบไว้ไม่เกิน 7,700 ล้านบาท สำหรับการปรับเกลี่ยเพิ่มงบเหมาจ่ายให้กับโรงพยาบาลที่มีปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด โรงพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร เสี่ยงภัย พื้นที่เป็นเกาะ และประชากรน้อย ซึ่งมีประมาณ 200 แห่ง เพื่อแก้ไขปัญหางบไม่เพียงพอ

6. งบการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่ส่วนกลาง ซึ่ง คตร. ได้เคยมีคำสั่งไม่ให้ สปสช. ดำเนินการ แต่ให้ดำเนินการขออนุมัติเป็นครั้งไป และภายหลังได้มอบให้ รมว.สาธารณสุข เป็นผู้อนุมัติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมรายการยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต้องจัดซื้อส่วนกลางเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการดูแลประชาชน โดยดำเนินการผ่านองค์การเภสัชกรรม อาทิ ยาต้านไวรัสเอดส์ ยากำพร้า ยาต้านพิษ ยาบัญชี จ.2 น้ำยาล้างไต ถุงยางอนามัย และข้อเข่าเทียม เป็นต้น 

นอกจากนี้ ในส่วนการจัดสรรงบตามคำสั่ง ม.44 ทั้งค่าบริการทางการแพทย์ที่เบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน และเงินช่วยเหลือเบื้อต้นผู้ให้บริการ ซึ่งได้มีการเงินจำนวน 0.10 บาทต่อผู้มีสิทธิ ให้เป็นไปตามที่ รมว.สาธารณสุข ประกาศโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังซึ่งจะทำให้ขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดีขึ้น

“หลักเกณฑ์การจัดสรรงบดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอคณะกรรมการร่วม สธ.- สปสช. 7x7, คณะกรรมการแก้ปัญหา รพ.ขาดทุน, ประกาศ ม.44, ข้อเสนอจากเวทีรับฟังความเห็นทั่วประเทศ และ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานหน่วยบริการ แก้ไขปัญหาอุปสรรคการโอนและเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะโรงพยาบาลสังกัด สป.สธ. ที่มีปัญหาสภาพคล่อง ทั้งยังส่งผลต่อการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการดูแลประชาชนให้เข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึงและครอบคลุม” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว

ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่


กำลังโหลดความคิดเห็น