นพ.กฤษฏิ์ พฤกษะวัน
ศัลยแพทย์ถกระดูกและข้อ (เท้า-ข้อเท้า)
โรงพยาบาลเวชธานี ลาดพร้าว 111
ปัจจุบันมีการใช้ Hyperbaric Oxygen Therapy เข้ามาช่วยในการรักษาโรคเบาหวาน ที่มีแผลเรื้อรัง โดยเฉพาะแผลเบาหวานที่เท้า ซึ่งมีวิธีการ คือ ให้ผู้ป่วยหายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ภายใต้เครื่องปรับบรรยากาศความกดดันสูงที่มากกว่าความดันบรรยากาศที่ระดับน้ำทะเล เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดให้มากขึ้น พอเลือดไหลเวียนไปยังตำแหน่งที่มีแผล ก็จะส่งออกซิเจนเข้าไปในเนื้อเยื่อนั้นและได้มากขึ้น
ประสิทธิภาพของ Hyperbaric Oxygen Therapy
หลังจากเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณแผลได้รับปริมาณออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ออกซิเจนเหล่านี้จะไปกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดเล็ก ๆ ให้มาเลี้ยงแผลมากขึ้น กระตุ้นเนื้อเยื่อให้มีการสร้างคอลลาเจน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการหายของแผล กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการบวมของเนื้อเยื่อส่งเสริมการซ่อมแซมและการหายของบาดแผล
โดยการรักษาโรคเบาหวานที่มีแผลเรื้อรังด้วยออกซิเจนความดันสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy) เป็นการรักษาเสริม หรือเพิ่มเติมอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ทั้งทางอายุรกรรมและศัลยกรรม นอกจากนั้น ยังสามารถรักษา โรคต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น โรคฟองอากาศอุดตันเส้นเลือด, พิษจากก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์, โรคน้ำหนีบ, เนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากการบดขยี้ (crush injury), การติดเชื้อที่แผลและการติดเชื้อที่กระดูก, แผลเรื้อรังจากการฉายแสง, แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นต้น
ความถี่ในการทำงาน
จำนวนครั้งและระยะเวลาในการทำยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยและสภาพของบาดแผลหรือการบาดเจ็บนั้น ๆ สำหรับการรักษาโรคเบาหวานแผลที่เท้าจะใช้ประมาณ 20 - 40 ครั้ง ครั้งละ 1 - 2 ชม. โดยขึ้นอยู่กับอัตราการตอบสนองของแผลและการรักษา
สำหรับเครื่อความกดอากาศในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. แบบ Monochamber รักษาผู้ป่วยได้ครั้งละ 1 คน
2. แบบ Multichamber ใช้รักษาผู้ป่วยได้ครั้งละ 2 - 18 คน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
โดยปกติถ้าได้รับการรักษาตามมาตรฐานด้วยความกดอากาศไม่เกิน 3 บรรยากาศ และการรักษาแต่ละครั้งไม่เกิน 2 ชม. จะพบภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าได้รับการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรักษา อย่างไรก็ตาม สามารถพบภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ การบาดเจ็บที่หูชั้นกลาง อาการปวดหู หูอื้อ ปวดไซนัส และ ปวดฟัน เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นเองหลังจากการหยุดทำ