แนะฝึกสติแก้ปัญหาคนไทยอารมณ์ร้อนได้ผล ด้านพยาบาลโนนคูณ ชี้ ลดความเครียด ส่งผลให้เจ้าหน้าที่กับคนไข้รู้สึกดีขึ้น ขณะที่ ครู ปรับอ่อนโยนกับนักเรียน ใช้เหตุผลอธิบาย ทำให้ครู - ศิษย์เข้าใจกัน
นายธรรมนนท์ กิจติเวชกุล ผู้อำนวยการสถาบันบ่มเพาะจิตสู่การแปรเปลี่ยนสังคม กล่าวว่า จากการที่สถาบันได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดำเนินโครงการ “ภาวนาคือชีวิต วิถีชีวิตที่เกื้อกูลต่อชุมชนและสังคม” ด้วยกระบวนการสร้างปัญญาผ่านวิธีภาวนาเจริญสติตามแนวทาง หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ วัดสนามใน จังหวัดนนทบุรี กว่า 1 ปี และได้จัดกิจกรรม “การเขียน ศิลปะ ภาวนา” ณ สวนราตรี หมู่บ้านสำโรง จ.อุบลราชธานี ขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่า มีประชาชนให้ความสนใจวิธีการภาวนาในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเห็นว่า ทำให้เกิดสติไม่ทำให้ไหลไปตามกระแสบริโภคนิยม และรับมือกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคมได้มากขึ้น ที่สำคัญ ขณะนี้มีเครือข่ายชุมชนกลุ่มคนทำงานอาชีพต่าง ๆ สนใจเชื่อมโยงหลักการภาวนากับชีวิตประจำวันในพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า หากคนไทยหันมาฝึกสติเจริญภาวนากันมากขึ้นตามหลักพระพุทธศาสนา จะทำให้แก้ปัญหาอารมณ์ร้อนที่ส่งผลต่อตนเองและสังคมได้เป็นอย่างดี
นางวัชราภรณ์ ประภาสะสุทธิ์ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลโนนคูณ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า พยาบาลมักมีปัญหากับคนไข้ เนื่องจากคนไข้บางรายไม่ยอมทำตามที่แพทย์สั่ง เช่น บางรายไม่มาตามนัด ไม่รับประทานยา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับคนไข้ไม่ค่อยดีนัก เมื่อตนได้ฝึกสติทำให้มองไปที่เหตุผลและวิธีการแก้ไข ส่งผลให้ความเครียดลดลง รวมทั้งสามารถสื่อสารกับคนไข้มากขึ้น มีการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ผสมกับอาการเจ็บป่วย จนกลายเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้มาใช้บริการได้
ด้าน นางสายฝน จันบุตราช อาจารย์โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า การภาวนาได้สร้างกำลังใจให้กับการทำงาน มีครั้งหนึ่งรู้สึกหงุดหงิดกับนักเรียนที่ไม่ได้ดั่งใจ กลายเป็นคนขี้บ่น อารมณ์ร้อน จนนักเรียนไม่อยากเข้าใกล้ จึงเริ่มฝึกสติคิดถึงอารมณ์ของตัวเอง และแก้ไขตัวเองด้วยการสื่อสารกับนักเรียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น พร้อมใช้เหตุผลอธิบายแทนการใช้อารมณ์ ทำให้สัมพันธภาพครูกับนักเรียนดีขึ้น จึงอยากให้เพื่อนครูทั่วประเทศหันมาฝึกสติด้วยการภาวนา เพื่อช่วยแก้ปัญหาระหว่างครูกับนักเรียน
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นายธรรมนนท์ กิจติเวชกุล ผู้อำนวยการสถาบันบ่มเพาะจิตสู่การแปรเปลี่ยนสังคม กล่าวว่า จากการที่สถาบันได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดำเนินโครงการ “ภาวนาคือชีวิต วิถีชีวิตที่เกื้อกูลต่อชุมชนและสังคม” ด้วยกระบวนการสร้างปัญญาผ่านวิธีภาวนาเจริญสติตามแนวทาง หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ วัดสนามใน จังหวัดนนทบุรี กว่า 1 ปี และได้จัดกิจกรรม “การเขียน ศิลปะ ภาวนา” ณ สวนราตรี หมู่บ้านสำโรง จ.อุบลราชธานี ขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่า มีประชาชนให้ความสนใจวิธีการภาวนาในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเห็นว่า ทำให้เกิดสติไม่ทำให้ไหลไปตามกระแสบริโภคนิยม และรับมือกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคมได้มากขึ้น ที่สำคัญ ขณะนี้มีเครือข่ายชุมชนกลุ่มคนทำงานอาชีพต่าง ๆ สนใจเชื่อมโยงหลักการภาวนากับชีวิตประจำวันในพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า หากคนไทยหันมาฝึกสติเจริญภาวนากันมากขึ้นตามหลักพระพุทธศาสนา จะทำให้แก้ปัญหาอารมณ์ร้อนที่ส่งผลต่อตนเองและสังคมได้เป็นอย่างดี
นางวัชราภรณ์ ประภาสะสุทธิ์ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลโนนคูณ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า พยาบาลมักมีปัญหากับคนไข้ เนื่องจากคนไข้บางรายไม่ยอมทำตามที่แพทย์สั่ง เช่น บางรายไม่มาตามนัด ไม่รับประทานยา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับคนไข้ไม่ค่อยดีนัก เมื่อตนได้ฝึกสติทำให้มองไปที่เหตุผลและวิธีการแก้ไข ส่งผลให้ความเครียดลดลง รวมทั้งสามารถสื่อสารกับคนไข้มากขึ้น มีการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ผสมกับอาการเจ็บป่วย จนกลายเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้มาใช้บริการได้
ด้าน นางสายฝน จันบุตราช อาจารย์โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า การภาวนาได้สร้างกำลังใจให้กับการทำงาน มีครั้งหนึ่งรู้สึกหงุดหงิดกับนักเรียนที่ไม่ได้ดั่งใจ กลายเป็นคนขี้บ่น อารมณ์ร้อน จนนักเรียนไม่อยากเข้าใกล้ จึงเริ่มฝึกสติคิดถึงอารมณ์ของตัวเอง และแก้ไขตัวเองด้วยการสื่อสารกับนักเรียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น พร้อมใช้เหตุผลอธิบายแทนการใช้อารมณ์ ทำให้สัมพันธภาพครูกับนักเรียนดีขึ้น จึงอยากให้เพื่อนครูทั่วประเทศหันมาฝึกสติด้วยการภาวนา เพื่อช่วยแก้ปัญหาระหว่างครูกับนักเรียน
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
