มูลนิธิ รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี - สสค.- คุรุสภา ประกาศผลประกวดคลิปสั้น “เล่าเรื่องด้วยหัวใจจากศิษย์ถึงครู” ผลงานของนิสิต นศ. และประชาชนทั่วไป ให้ร่วมเรื่องราวของครูที่ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิต
วันนี้ (14 พ.ค.) ที่หอประชุมคุรุสภา มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) คุรุสภา และกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดงานประกาศผลรางวัลประกวดคลิปสั้น “เล่าเรื่องด้วยหัวใจจากศิษย์ถึงครู” พร้อมมอบรางวัลทีมชนะเลิศ และรองชนะเลิศ โดย นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ในฐานะประธานมอบรางวัล กล่าวว่า เนื่องในปีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ในโอกาสพระชนมายุครบ 60 พรรษา จึงทรงพระราชทาน รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ให้แก่ครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์และยังส่งผลต่อคุณูปการแก่วงการศึกษา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกครูของแต่ละประเทศเพื่อรับพระราชทานรางวัล ในวันที่ 2 ตุลาคม นี้ พร้อมกับครูอีก 9 ประเทศ โดยจะมีการคัดเลือกต่อเนื่องครั้งละ 2 ปี
นายมานิจ กล่าวต่อว่า เพื่อให้เกิดการตื่นตัวในสังคมไทย ทางมูลนิธิฯ จึงได้จัด “โครงการเล่าเรื่องด้วยหัวใจจากศิษย์ถึงครู” ด้วยการเชิญชวนลูกศิษย์ทั้งนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมบอกเล่าเรื่องราวของครูที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิต โดยถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบของคลิปวิดีโอสั้น ความยาวไม่เกิน 5 นาที ซึ่งได้เปิดรับสมัครและส่งผลงาน ระหว่าง ม.ค.- 15 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยมีผู้ส่งผลงานเข้ามาทั้งสิ้น 105 ชิ้น
นายมานิจ กล่าวต่อว่า สำหรับรางวัลชนะเลิศ ประเภทนักเรียน นิสิต นักศึกษา ซึ่งจะได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท ได้แก่ เรื่อง “คุณครูใจร้าย” จากทีมฆ่าหมีด้วยมือเปล่า มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ที่ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ได้เล่าเรื่องราวของคุณครูสุชาดา ซึ่งเป็นครูแนะแนว ที่เลื่องชื่อในความดุ และจู้จี้จุกจิก คอยสอดส่องดูแลให้ลูกศิษย์อยู่ในกฎระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว จนเด็กๆ หลายคนรำคาญ แต่เมื่อลูกศิษย์ที่จบออกไปแล้วได้ย้อนกลับไป พวกเขาทุกคนจึงรู้ว่า สิ่งที่ครูทำนั้นก็เพราะรักและห่วงใย และอยากให้ลูกศิษย์มีอนาคตที่ดี ส่วนรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ1เงินรางวัล 10,000 บาท คือ เรื่อง “โอกาส” จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 5,000 บาท คือ เรื่อง “ครูอาชีวะ” จากวิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม
สำหรับประเภทประชาชนทั่วไป รางวัลชนะเลิศได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท เช่นกันคือ เรื่อง “เมื่ออ่านไม่ออก เขียน ต.เต่าไม่ได้” โดย ดร.ศิริวรรณ อาจศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนภูเขียว จ.ชัยภูมิ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 10,000 บาท คือ เรื่อง “ขาเทียมเปลี่ยนชีวิต” โดยทีม จ.สตูล และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 5,000 บาท คือ เรื่อง “ครูปุ๊...แสงนำทางชีวิตเด็กดอย” โดยทีมบ้านพิพัฒน์ - กนกพร จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ ยังมีรางวัลขวัญใจคลิปจากคะแนนโหวต เงินรางวัล 10,000 บาท คือเรื่อง “แรงผลักดัน” จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม
ด้านน.ส.สุชาดา เลิศประไพ ครูแนะแนว ร.ร.เทพศิรินทร์ร่มเกล้า จาก คลิปสั้นเรื่อง “คุณครูใจร้าย” กล่าวว่า ไม่รู้สึกโกรธ หากเด็กจะมองว่าเป็นครูใจร้าย เพราะเป็นสไตล์การสอน และที่ดุก็ด้วยความห่วงใย และด้วยสังคมปัจจุบันค่อนข้างแรง จึงต้องมีวิธีเรียกความสนใจให้เขารู้ว่าในโลกของความเป็นจริงมันโหดร้าย จึงต้องสะท้อนกับเด็กไปตรงๆ ทุกคนที่มาปรึกษาเราจะลุยไปกับเขาส่วนสาเหตุที่เลือกเป็นครูแนะแนวในห้องท้ายของโรงเรียน เพราะอยากชี้แนะให้เด็กได้รู้ว่าคนอัจฉริยะมันมีถึง 8 ด้าน ไม่ใช่แค่วิชาการ บางคนเก่งกีฬา หรือดนตรีก็ประสบความสำเร็จได้ จึงพาเขาไปสมัครสอบและให้ทุนทั้งที่ทางบ้านไม่สนใจก็ตาม ทั้งนี้ บทบาทของครูแนะแนวแก่เด็กยุค Generation Z ครูต้อง เข้าถึงเด็ก โดยเฉพาะสื่อต่างๆ ที่เขาใช้สื่อสาร ครูต้องมีด้วยเพื่อเป็นช่องทางสื่อสารกับเขา ถ้าใกล้ตัวเขา สุข ทุกข์กับเขา เขาก็จะมาหาเรานั่นเอง
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (14 พ.ค.) ที่หอประชุมคุรุสภา มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) คุรุสภา และกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดงานประกาศผลรางวัลประกวดคลิปสั้น “เล่าเรื่องด้วยหัวใจจากศิษย์ถึงครู” พร้อมมอบรางวัลทีมชนะเลิศ และรองชนะเลิศ โดย นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ในฐานะประธานมอบรางวัล กล่าวว่า เนื่องในปีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ในโอกาสพระชนมายุครบ 60 พรรษา จึงทรงพระราชทาน รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ให้แก่ครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์และยังส่งผลต่อคุณูปการแก่วงการศึกษา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกครูของแต่ละประเทศเพื่อรับพระราชทานรางวัล ในวันที่ 2 ตุลาคม นี้ พร้อมกับครูอีก 9 ประเทศ โดยจะมีการคัดเลือกต่อเนื่องครั้งละ 2 ปี
นายมานิจ กล่าวต่อว่า เพื่อให้เกิดการตื่นตัวในสังคมไทย ทางมูลนิธิฯ จึงได้จัด “โครงการเล่าเรื่องด้วยหัวใจจากศิษย์ถึงครู” ด้วยการเชิญชวนลูกศิษย์ทั้งนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมบอกเล่าเรื่องราวของครูที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิต โดยถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบของคลิปวิดีโอสั้น ความยาวไม่เกิน 5 นาที ซึ่งได้เปิดรับสมัครและส่งผลงาน ระหว่าง ม.ค.- 15 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยมีผู้ส่งผลงานเข้ามาทั้งสิ้น 105 ชิ้น
นายมานิจ กล่าวต่อว่า สำหรับรางวัลชนะเลิศ ประเภทนักเรียน นิสิต นักศึกษา ซึ่งจะได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท ได้แก่ เรื่อง “คุณครูใจร้าย” จากทีมฆ่าหมีด้วยมือเปล่า มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ที่ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ได้เล่าเรื่องราวของคุณครูสุชาดา ซึ่งเป็นครูแนะแนว ที่เลื่องชื่อในความดุ และจู้จี้จุกจิก คอยสอดส่องดูแลให้ลูกศิษย์อยู่ในกฎระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว จนเด็กๆ หลายคนรำคาญ แต่เมื่อลูกศิษย์ที่จบออกไปแล้วได้ย้อนกลับไป พวกเขาทุกคนจึงรู้ว่า สิ่งที่ครูทำนั้นก็เพราะรักและห่วงใย และอยากให้ลูกศิษย์มีอนาคตที่ดี ส่วนรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ1เงินรางวัล 10,000 บาท คือ เรื่อง “โอกาส” จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 5,000 บาท คือ เรื่อง “ครูอาชีวะ” จากวิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม
สำหรับประเภทประชาชนทั่วไป รางวัลชนะเลิศได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท เช่นกันคือ เรื่อง “เมื่ออ่านไม่ออก เขียน ต.เต่าไม่ได้” โดย ดร.ศิริวรรณ อาจศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนภูเขียว จ.ชัยภูมิ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 10,000 บาท คือ เรื่อง “ขาเทียมเปลี่ยนชีวิต” โดยทีม จ.สตูล และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 5,000 บาท คือ เรื่อง “ครูปุ๊...แสงนำทางชีวิตเด็กดอย” โดยทีมบ้านพิพัฒน์ - กนกพร จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ ยังมีรางวัลขวัญใจคลิปจากคะแนนโหวต เงินรางวัล 10,000 บาท คือเรื่อง “แรงผลักดัน” จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม
ด้านน.ส.สุชาดา เลิศประไพ ครูแนะแนว ร.ร.เทพศิรินทร์ร่มเกล้า จาก คลิปสั้นเรื่อง “คุณครูใจร้าย” กล่าวว่า ไม่รู้สึกโกรธ หากเด็กจะมองว่าเป็นครูใจร้าย เพราะเป็นสไตล์การสอน และที่ดุก็ด้วยความห่วงใย และด้วยสังคมปัจจุบันค่อนข้างแรง จึงต้องมีวิธีเรียกความสนใจให้เขารู้ว่าในโลกของความเป็นจริงมันโหดร้าย จึงต้องสะท้อนกับเด็กไปตรงๆ ทุกคนที่มาปรึกษาเราจะลุยไปกับเขาส่วนสาเหตุที่เลือกเป็นครูแนะแนวในห้องท้ายของโรงเรียน เพราะอยากชี้แนะให้เด็กได้รู้ว่าคนอัจฉริยะมันมีถึง 8 ด้าน ไม่ใช่แค่วิชาการ บางคนเก่งกีฬา หรือดนตรีก็ประสบความสำเร็จได้ จึงพาเขาไปสมัครสอบและให้ทุนทั้งที่ทางบ้านไม่สนใจก็ตาม ทั้งนี้ บทบาทของครูแนะแนวแก่เด็กยุค Generation Z ครูต้อง เข้าถึงเด็ก โดยเฉพาะสื่อต่างๆ ที่เขาใช้สื่อสาร ครูต้องมีด้วยเพื่อเป็นช่องทางสื่อสารกับเขา ถ้าใกล้ตัวเขา สุข ทุกข์กับเขา เขาก็จะมาหาเรานั่นเอง
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่