เครือข่ายสตรีห่วงแรงงานหญิงไทยไปทำงานต่างประเทศ ถูกเอาเปรียบล่วงละเมิดทางเพศ - คุกคาม - สวัสดิการแย่ วอน ก.แรงงาน วางมาตรการดูแล “บิ๊กเต่า” ลั่นเตรียมดูแลเองคุมเข้ม บ. จัดหางานวางกติการร่วมกัน
นางวณี บางประภาฐฺติประเสริฐ เครือข่ายวิจัยและรณรงค์เพื่อสตรี เปิดเผยว่า งานวิจัยเกี่ยวกับแรงงานหญิงไทยในต่างประเทศ ช่วงปี 2552 ถึงปัจจุบัน พบว่า แรงงานหญิงในภาคการเกษตรในประเทศอิสราเอล นอกจากทำงานเกษตรแล้ว นายจ้างยังให้ไปทำงานงานบ้านและพนักงานนวด ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกคุกคามทางเพศ และหากเกิดกรณีแรงงานหญิงท้องจะก่อให้เกิดปัญหา เพราะกฎหมายอิสราเอลไม่ให้การคุ้มครอง และไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ หากคลอดลูกที่อิสราเอลเด็กจะไม่ได้การรับรองสถานภาพ ขณะที่ประเทศแอฟริกาใต้มีแรงงานหญิงไทยที่ไปทำงานนวด ไม่มีสวัสดิการใดๆ รองรับ แถมยังถูกข่มขู่ คุกคาม ที่พักไม่มีความสะดวกสบาย บางรายบาดเจ็บและเสียชีวิตโดยไม่ได้รับการดูแล
น.ส.ภัสอภิมาส วิโชคจันทร์แสง ประสานงานมูลนิธิผู้หญิง กล่าวว่า อยากให้กระทรวงแรงงานปรับปรุงระบบการจัดส่งแรงงานไป ทำงานต่างประเทศ โดยผ่านบริษัทจัดหางานด้วยการออกกฎระเบียบที่มีการจัดสรรโควตาให้บริษัทจัดหางานที่ขึ้นทะเบียนไว้ให้มีสิทธิส่งแรงงานไทยบริษัทละไม่เกิน 2 พันคนต่อปี ไม่ใช่ส่งไปได้โดยไม่จำกัดจำนวน เมื่อแรงงานเดินทางไปแล้ว ก็ถูกปล่อยลอยแพ และอยากให้เพิ่มวงเงินหลักประกันกองทุนเงินช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศให้มากกว่า 5 ล้านบาท เพราะแรงงาน 1 คน ต้องเสียค่าใช้จ่ายกว่า 2.7 - 3 แสนบาท แต่เงินเยียวยาจากกองทุนฯต้องมาเฉลี่ยกันได้รับเงินคืนคนละ 8 หมื่น - 1 แสนบาท ส่วนเงินส่วนต่างจากที่จ่ายไปต้องไปฟ้องร้องบริษัทจัดหางานกันเอง
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวว่า ปัจจุบันการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ เน้นใช้ระบบจัดส่งแบบรัฐต่อรัฐ ขณะที่การจัดส่งแรงงานโดยผ่านบริษัทจัดหางานโดยภาพรวมขณะนี้มีไม่ถึงร้อยละ 10 จาก ที่เคยจัดส่ง ส่วนกรณีหญิงไปทำงานนวดที่ แอฟริกาใต้ ทาง กกจ. ได้รับการร้องทุกข์โดยที่ผ่านมาได้ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดสอบเอกสารที่มีการแก้ไขว่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ หากได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนแล้วก็จะดำเนินคดีได้
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กรณีหญิงไทยไปทำงานต่างประเทศ มีปัญหาเกิดขึ้นหลายกรณี ทั้งนี้ หากคนไทยไปทำงานต่างประเทศแล้ว มีทักษะฝีมือเพิ่มขึ้น และได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับมา ก็น่าส่งเสริมให้ไป แต่หากไปแล้วไปเสี่ยงตกเป็นเหยื่อ ก็ไม่ควรไปเพราะงานในประเทศไทยก็มีให้ทำมากมาย จะต้องให้สร้างความรู้ความเข้าใจให้คนไทยมากขึ้น ทั้งนี้ กรณีปัญหาแรงงานไทยไป ทำงานต่างประเทศนั้น หลังจากนี้ จะลงมาจับเรื่องนี้เอง ส่วนกรณีบริษัทจัดหางานนั้นมีแนวคิดจะให้บริษัทจัดหางานทำสัญญาคุณธรรมกับกระทรวงแรงงาน โดยให้ไม่มีการเก็บค่าหัวคิวและได้เงินค่าบริการจัดส่งแรงงานไทยที่เหมาะสมตามความเป็นจริง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทจัดหางานก็เป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จของการส่งแรงงานไทย แต้ต้องมาวางกติกาเพิ่มและมีเป้าหมายร่วมกันให้คนไทยต้องได้รับการคุ้มครองดูแล
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นางวณี บางประภาฐฺติประเสริฐ เครือข่ายวิจัยและรณรงค์เพื่อสตรี เปิดเผยว่า งานวิจัยเกี่ยวกับแรงงานหญิงไทยในต่างประเทศ ช่วงปี 2552 ถึงปัจจุบัน พบว่า แรงงานหญิงในภาคการเกษตรในประเทศอิสราเอล นอกจากทำงานเกษตรแล้ว นายจ้างยังให้ไปทำงานงานบ้านและพนักงานนวด ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกคุกคามทางเพศ และหากเกิดกรณีแรงงานหญิงท้องจะก่อให้เกิดปัญหา เพราะกฎหมายอิสราเอลไม่ให้การคุ้มครอง และไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ หากคลอดลูกที่อิสราเอลเด็กจะไม่ได้การรับรองสถานภาพ ขณะที่ประเทศแอฟริกาใต้มีแรงงานหญิงไทยที่ไปทำงานนวด ไม่มีสวัสดิการใดๆ รองรับ แถมยังถูกข่มขู่ คุกคาม ที่พักไม่มีความสะดวกสบาย บางรายบาดเจ็บและเสียชีวิตโดยไม่ได้รับการดูแล
น.ส.ภัสอภิมาส วิโชคจันทร์แสง ประสานงานมูลนิธิผู้หญิง กล่าวว่า อยากให้กระทรวงแรงงานปรับปรุงระบบการจัดส่งแรงงานไป ทำงานต่างประเทศ โดยผ่านบริษัทจัดหางานด้วยการออกกฎระเบียบที่มีการจัดสรรโควตาให้บริษัทจัดหางานที่ขึ้นทะเบียนไว้ให้มีสิทธิส่งแรงงานไทยบริษัทละไม่เกิน 2 พันคนต่อปี ไม่ใช่ส่งไปได้โดยไม่จำกัดจำนวน เมื่อแรงงานเดินทางไปแล้ว ก็ถูกปล่อยลอยแพ และอยากให้เพิ่มวงเงินหลักประกันกองทุนเงินช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศให้มากกว่า 5 ล้านบาท เพราะแรงงาน 1 คน ต้องเสียค่าใช้จ่ายกว่า 2.7 - 3 แสนบาท แต่เงินเยียวยาจากกองทุนฯต้องมาเฉลี่ยกันได้รับเงินคืนคนละ 8 หมื่น - 1 แสนบาท ส่วนเงินส่วนต่างจากที่จ่ายไปต้องไปฟ้องร้องบริษัทจัดหางานกันเอง
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวว่า ปัจจุบันการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ เน้นใช้ระบบจัดส่งแบบรัฐต่อรัฐ ขณะที่การจัดส่งแรงงานโดยผ่านบริษัทจัดหางานโดยภาพรวมขณะนี้มีไม่ถึงร้อยละ 10 จาก ที่เคยจัดส่ง ส่วนกรณีหญิงไปทำงานนวดที่ แอฟริกาใต้ ทาง กกจ. ได้รับการร้องทุกข์โดยที่ผ่านมาได้ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดสอบเอกสารที่มีการแก้ไขว่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ หากได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนแล้วก็จะดำเนินคดีได้
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กรณีหญิงไทยไปทำงานต่างประเทศ มีปัญหาเกิดขึ้นหลายกรณี ทั้งนี้ หากคนไทยไปทำงานต่างประเทศแล้ว มีทักษะฝีมือเพิ่มขึ้น และได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับมา ก็น่าส่งเสริมให้ไป แต่หากไปแล้วไปเสี่ยงตกเป็นเหยื่อ ก็ไม่ควรไปเพราะงานในประเทศไทยก็มีให้ทำมากมาย จะต้องให้สร้างความรู้ความเข้าใจให้คนไทยมากขึ้น ทั้งนี้ กรณีปัญหาแรงงานไทยไป ทำงานต่างประเทศนั้น หลังจากนี้ จะลงมาจับเรื่องนี้เอง ส่วนกรณีบริษัทจัดหางานนั้นมีแนวคิดจะให้บริษัทจัดหางานทำสัญญาคุณธรรมกับกระทรวงแรงงาน โดยให้ไม่มีการเก็บค่าหัวคิวและได้เงินค่าบริการจัดส่งแรงงานไทยที่เหมาะสมตามความเป็นจริง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทจัดหางานก็เป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จของการส่งแรงงานไทย แต้ต้องมาวางกติกาเพิ่มและมีเป้าหมายร่วมกันให้คนไทยต้องได้รับการคุ้มครองดูแล
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่