มะเร็งคร่าชีวิตคนไทยสูงสุดต่อเนื่อง 13 ปี ก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 8 หมื่นล้านบาท พบ “พะเยา” อัตราตายจากมะเร็งสูงสุด เผยตั้งศูนย์เชี่ยวชาญรักษามะเร็งทั้ง 13 เขตสุขภาพ ระบุเหลือเพียงเขตที่ 3 ยังอยู่ระหว่างสร้างอาคาร คาดอีก 2 ปีเสร็จสิ้น เตือน 5 กลุ่มเสี่ยงปรับพฤติกรรมก่อนเป็นมะเร็ง
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 4 ก.พ. ของทุกปีเป็นวันมะเร็งโลก ซึ่งโรคนี้ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรงระดับโลก เป็นภัยเงียบคุกคามชีวิตประชาชนวัยแรงงาน และผู้สูงอายุมากที่สุด โดยองค์การอนามัยโลกรายงานพบผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ทั่วโลกปีละประมาณ 14 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 8 ล้านคน มากที่สุดคือ มะเร็งปอด จำนวน 1.59 ล้านคน แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกประเทศ สำหรับประเทศไทย พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ต่อเนื่องมานานกว่า 13 ปี ล่าสุด ปี 2556 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิด 67,184 คน คิดเป็นร้อยละ 16 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่มีปีละ 426,065 คน เพิ่มปีละประมาณ 3,000 คน จังหวัดที่มีอัตราตายสูงที่สุดคือ พะเยา สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจในปี 2552 ถึง 8 หมื่นล้านบาท
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ขณะนี้ สธ.ได้ตั้งศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคมะเร็งประจำเขตสุขภาพแล้ว 13 แห่งใน 13 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง พิษณุโลก ลพบุรี ราชบุรี ปทุมธานี ชลบุรี ร้อยเอ็ด อุดรธานี นครราชสีมา สุรินทร์ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และสงขลา แต่ละแห่งดูแลประชาชน 5 - 8 จังหวัด เฉลี่ยประมาณ 5 ล้านคน ในปี 2558 ได้จัดงบลงทุน 113 ล้านบาทเศษ เช่น ซื้อเครื่องสลายเนื้องอกในสมอง ประจำที่ศูนย์เชี่ยวชาญ จ.ร้อยเอ็ดและอุบลราชธานี เป็นต้น ขณะนี้ยังขาดเพียงเขตสุขภาพที่ 3 คือ นครสวรรค์ พิจิตร อุทัยธานี กำแพงเพชร และชัยนาท อยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ คาดจะเสร็จในอีก 2 ปี ทุกเขตสุขภาพสามารถผ่าตัดมะเร็ง รักษาด้วยเคมีบำบัดและรักษาด้วยรังสี เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยมะเร็งเร็วขึ้น ได้รับการรักษาใกล้บ้านขึ้น เช่นได้รับการผ่าตัดใน 4 สัปดาห์ ได้รับยาเคมีบำบัดใน 6 สัปดาห์ เป็นต้น
ด้าน นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัด สธ. กล่าวว่า ปีนี้ สธ. ได้ขยายบริการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะท้ายของชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแลที่บ้าน โดยมีทีมหมอครอบครัวจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ร่วมกับโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) และ อสม. ออกไปให้การดูแลที่บ้าน สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจะป่วยเป็นโรคมะเร็งได้สูงกว่าคนอื่นๆ มี 5 กลุ่มได้แก่ คนอ้วน ผู้ที่ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย และผู้ที่ไม่กินผักผลไม้สด ซึ่งโรคจะค่อยๆ ก่อตัว โดยไม่รู้ตัว จึงขอให้ผู้ที่มีความเสี่ยง เร่งแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของตนเอง
“การปรับพฤติกรรมสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ไม่ต่ำกว่า 30 นาที ลดความอ้วน งดดื่มสุรา สูบบุหรี่ เพิ่มการกินผักผลไม้สดให้ได้ครึ่งหนึ่งของมื้ออาหารทุกมื้อ เพราะมีสารต้านมะเร็ง และมีเส้นใยอาหาร ช่วยกระตุ้นผนังลำไส้ใหญ่ให้สร้างเมือกมากขึ้น ทำให้ระบบขับถ่ายดี นอกจากนี้ ให้ทุกจังหวัดรณรงค์ให้ประชาชนอายุ 30 ปีขึ้นไป ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 30 ปี รณรงค์ตรวจหามะเร็งปากมดลูกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ตรวจมะเร็งเต้านมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 หากพบความผิดปกติจะได้รับการผ่าตัดอย่างรวดเร็ว ส่วนภาคเหนือ และอีสานจะเน้นโรคมะเร็งท่อน้ำดี โดยตรวจหาไข่พยาธิใบไม้ตับในอุจจาระ” รองปลัด สธ. กล่าว
นพ.วชิระ กล่าวว่า ประชาชนสามารถสังเกตสัญญาณผิดปกติ สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งมี 7 อาการ ได้แก่ 1. มีเลือดออกหรือมีสิ่งขับออกจากร่างกายผิดปกติ 2. มีก้อนเนื้อหรือตุ่มเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งของร่างกายและก้อนนั้นโตเร็ว 3. มีแผลเรื้อรังรักษาหายยาก 4. ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะผิดปกติหรือเปลี่ยนไปจากเดิม 5. เสียงแหบหรือไอเรื้อรัง 6. กลืนอาหารลำบากหรือทานอาหารแล้วไม่ย่อย และ 7. มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝ
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 4 ก.พ. ของทุกปีเป็นวันมะเร็งโลก ซึ่งโรคนี้ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรงระดับโลก เป็นภัยเงียบคุกคามชีวิตประชาชนวัยแรงงาน และผู้สูงอายุมากที่สุด โดยองค์การอนามัยโลกรายงานพบผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ทั่วโลกปีละประมาณ 14 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 8 ล้านคน มากที่สุดคือ มะเร็งปอด จำนวน 1.59 ล้านคน แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกประเทศ สำหรับประเทศไทย พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ต่อเนื่องมานานกว่า 13 ปี ล่าสุด ปี 2556 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิด 67,184 คน คิดเป็นร้อยละ 16 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่มีปีละ 426,065 คน เพิ่มปีละประมาณ 3,000 คน จังหวัดที่มีอัตราตายสูงที่สุดคือ พะเยา สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจในปี 2552 ถึง 8 หมื่นล้านบาท
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ขณะนี้ สธ.ได้ตั้งศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคมะเร็งประจำเขตสุขภาพแล้ว 13 แห่งใน 13 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง พิษณุโลก ลพบุรี ราชบุรี ปทุมธานี ชลบุรี ร้อยเอ็ด อุดรธานี นครราชสีมา สุรินทร์ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และสงขลา แต่ละแห่งดูแลประชาชน 5 - 8 จังหวัด เฉลี่ยประมาณ 5 ล้านคน ในปี 2558 ได้จัดงบลงทุน 113 ล้านบาทเศษ เช่น ซื้อเครื่องสลายเนื้องอกในสมอง ประจำที่ศูนย์เชี่ยวชาญ จ.ร้อยเอ็ดและอุบลราชธานี เป็นต้น ขณะนี้ยังขาดเพียงเขตสุขภาพที่ 3 คือ นครสวรรค์ พิจิตร อุทัยธานี กำแพงเพชร และชัยนาท อยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ คาดจะเสร็จในอีก 2 ปี ทุกเขตสุขภาพสามารถผ่าตัดมะเร็ง รักษาด้วยเคมีบำบัดและรักษาด้วยรังสี เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยมะเร็งเร็วขึ้น ได้รับการรักษาใกล้บ้านขึ้น เช่นได้รับการผ่าตัดใน 4 สัปดาห์ ได้รับยาเคมีบำบัดใน 6 สัปดาห์ เป็นต้น
ด้าน นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัด สธ. กล่าวว่า ปีนี้ สธ. ได้ขยายบริการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะท้ายของชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแลที่บ้าน โดยมีทีมหมอครอบครัวจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ร่วมกับโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) และ อสม. ออกไปให้การดูแลที่บ้าน สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจะป่วยเป็นโรคมะเร็งได้สูงกว่าคนอื่นๆ มี 5 กลุ่มได้แก่ คนอ้วน ผู้ที่ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย และผู้ที่ไม่กินผักผลไม้สด ซึ่งโรคจะค่อยๆ ก่อตัว โดยไม่รู้ตัว จึงขอให้ผู้ที่มีความเสี่ยง เร่งแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของตนเอง
“การปรับพฤติกรรมสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ไม่ต่ำกว่า 30 นาที ลดความอ้วน งดดื่มสุรา สูบบุหรี่ เพิ่มการกินผักผลไม้สดให้ได้ครึ่งหนึ่งของมื้ออาหารทุกมื้อ เพราะมีสารต้านมะเร็ง และมีเส้นใยอาหาร ช่วยกระตุ้นผนังลำไส้ใหญ่ให้สร้างเมือกมากขึ้น ทำให้ระบบขับถ่ายดี นอกจากนี้ ให้ทุกจังหวัดรณรงค์ให้ประชาชนอายุ 30 ปีขึ้นไป ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 30 ปี รณรงค์ตรวจหามะเร็งปากมดลูกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ตรวจมะเร็งเต้านมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 หากพบความผิดปกติจะได้รับการผ่าตัดอย่างรวดเร็ว ส่วนภาคเหนือ และอีสานจะเน้นโรคมะเร็งท่อน้ำดี โดยตรวจหาไข่พยาธิใบไม้ตับในอุจจาระ” รองปลัด สธ. กล่าว
นพ.วชิระ กล่าวว่า ประชาชนสามารถสังเกตสัญญาณผิดปกติ สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งมี 7 อาการ ได้แก่ 1. มีเลือดออกหรือมีสิ่งขับออกจากร่างกายผิดปกติ 2. มีก้อนเนื้อหรือตุ่มเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งของร่างกายและก้อนนั้นโตเร็ว 3. มีแผลเรื้อรังรักษาหายยาก 4. ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะผิดปกติหรือเปลี่ยนไปจากเดิม 5. เสียงแหบหรือไอเรื้อรัง 6. กลืนอาหารลำบากหรือทานอาหารแล้วไม่ย่อย และ 7. มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝ
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่