อย. ยัน “แอปเปิล” เปื้อนเชื้อลิสเทอริโอซิสไม่มีการนำเข้ามาในไทย ส่วนล็อตที่เพิ่งนำเข้าไม่ใช่สายพันธุ์ที่มีการแจ้งเตือน แต่มีการเก็บตัวอย่างส่งตรวจศูนย์วิทย์ชลบุรีแล้ว คาดรู้ผลในอีก 2 - 3 วัน ด้านกรมวิทย์เตือนหญิงท้องต้องระวัง เชื้อทำให้แท้งลูกได้ ก่อนกินผักผลไม้ต้องล้างน้ำ
ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าประเทศไทยมีรายชื่อในบัญชีเป็นลูกค้าด้วย แต่แอปเปิลทั้งสองสายพันธุ์ที่มีปัญหาไม่ได้มีการนำเข้ามาในไทยก่อนหน้านี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ตรวจสอบพบว่า มีแอปเปิลนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกาในวันนี้ (16 ม.ค.) ทางด่านแหลมฉบัง จำนวน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ แต่ไม่ใช่สายพันธุ์ยี่ห้อ Big B และ Granny's Best ตามที่หนังสือแจ้งเตือนระบุ อย่างไรก็ตาม อย. ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เข้าตรวจสอบและเก็บเชื้ออย่างละเอียดก่อนที่จะปล่อยสินค้าออกจากกระบวนการ โดยตามปกติกรมวิชาการเกษตร จะวิเคราะห์โรคพืช ส่วนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้เก็บเชื้อที่จะเกิดในคนซึ่งปนเปื้อนมา อย่างไรก็ตาม เชื้อดังกล่าวนั้นเป็นเชื้อที่พบได้ทั่วไป ในประเทศก็มีมักเติบโตได้ดีในอากาศที่เย็น และมักอยู่ตามผักผลไม้ต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะแอปเปิ้ลเท่านั้น หากประชาชนกังวลก็เพียงแค่ล้างผักผลไม้ด้วยน้ำก่อนรับประทานก็เพียงพอ แต่เพื่อความมั่นใจก็สามารถปอกเปลือกก่อนรับประทานได้
“เชื้อนี้คนที่สุขภาพแข็งแรงไม่น่ากังวล อย่างมากก็จะมีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือท้องเสีย แต่อาจรุนแรงสำหรับคนที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ หรือเด็กเล็ก ทั้งนี้ ยืนยันว่ารุ่นที่มีปัญหาตามข่าวไม่ได้มีการนำเข้ามาในประเทศไทย และล็อตที่นำเข้ามาอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่สายพันธุ์ที่เป็นปัญหา แต่ก็มีการสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง” รองเลขาธิการ อย. กล่าว
นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า แอปเปิลที่ อย. สุ่มตรวจนั้นจะส่งมาที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ชลบุรี ซึ่งการตรวจเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 - 3 วัน เนื่องจากต้องรอเวลาในการเพาะเชื้อ ซึ่งเชื้อดังกล่าวเรามีการตรวจเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ใช่เชื้อที่มีความยุ่งยากในการตรวจ อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่เชื้อเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่พฤติรรมในการบริโภคด้วย สาเหตุที่สหรัฐฯพบรายงานการป่วยด้วยโรคนี้มากกว่าในไทยเพราะเขานิยมบริโภคทั้งเปลือก และไม่มีการล้างน้ำ เนื่องจากบ้านเมืองเขาอากาศเย็น เชื้อตามธรรมชาติมีน้อย จึงนิยมกินลักษณะนั้นทำให้เกิดปัญหา แต่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เชื้อในธรรมชาติมีมาก ทำให้วัฒนธรรมในการรับประทานของเราจึงต้องมีการล้างน้ำก่อน ซึ่ง สธ. ก็พยายามรณรงค์ในเรื่องนี้มาโดยตลอดว่าให้ล้างผัก ผลไม้ก่อนรับประทาน และเพื่อความมั่นใจก็ให้ปอกเปลือกก่อน
“ เชื้อตัวนี้ถือว่าใจเสาะมาก เพราะเพียงแค่ล้างน้ำก็สามารถทำให้เชื้อหลุดออกจากผิวผัก ผลไม้ได้แล้ว เมื่อล้างออกไปเชื้อก็ตาย เพราะฉะนั้น แค่ล้างน้ำก่อนรับประทานก็มีความปลอดภัย ส่วนที่หญิงตั้งครรภ์ยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะเชื้อนี้จะทำให้แท้งลูกได้ เพราะเชื้อจะเจริญเติบโตได้ดีในน้ำคร่ำ จึงต้องระมัดระวังในการรับประทาน ควรล้างผักผลไม้ก่อนรับประทานทุกครั้ง ” นพ.อภิชัย กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่