ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับ โลกโซเชียลมีเดียก็ยังแชร์ส่งต่อและกล่าวถึงเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่เสียชีวิตระหว่างการผ่าตัดทำศัลยกรรมทุบโหนก ทุบกราม หรือที่เรียกว่า “วีไลน์” โดยที่ผู้โพสต์แชร์เรื่องราวดังกล่าว ระบุว่าเป็นแฟนหนุ่มของหญิงสาวที่เสียชีวิต ซึ่งโพสต์ข้อความเอาไว้ จนกลายเป็นประเด็น Talk of the Town อีกครั้งของกระแสการเสริมความงาม
วีไลน์ คือการทำหน้าเรียว หรือที่เรียกว่าหน้าแบบวีไลน์ คือ การทำหน้าให้ดูคางแคบมนเรียว หน้ารูปไข่ เป็นการผ่าตัดช่วงล่างของใบหน้าให้แคบและเรียวลง โดยมีการผ่าตัดรวมสองขั้นตอนหรือขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง โดยขั้นตอนที่หนึ่ง เป็นการผ่าตัดลดขนาดกราม (ตัดมุมกรามและตัดแยกกระดูกด้านนอกออก) และขั้นตอนที่สอง ลดความกว้างของกระดูกคาง
เรียกว่าเป็นวิธีการที่รู้จักกันดีในหมู่หญิงสาวที่รักสวยรักงาม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดความสูญเสียของบรรดาหญิงสาวที่รักสวยรักงาม และไม่ว่าจะมีตัวอย่างที่ผิดพลาดเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง แต่กระแสเรื่องการทำศัลยกรรมในบ้านเรากลับโตขึ้นสวนกระแสอย่างมาก !
ดิฉันยังจำได้ว่าในยุคสมัยหนึ่งเรื่องการทำศัลยกรรมมีไม่กี่อย่าง เช่น ทำจมูก ทำตาสองชั้น เสริมขนาดเต้านม ก็จัดเป็นเรื่องใหญ่แล้ว และยังเป็นเรื่องที่คนทำก็จะปกปิดไม่กล้าเปิดเผยให้ใครรู้ เพราะกระแสสังคมยังไม่รับกับเรื่องนี้มากนัก
ในวงการดารา ใครที่ลุกขึ้นมาบอกว่าทำศัลยกรรม ก็จะถูกมองแปลกๆ และเมาท์กันสนั่นเมือง
แต่ในยุคปัจจุบันดูเหมือนจะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง การทำศัลยกรรมกำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติของหญิงสาวที่รักสวยรักงามไปซะแล้ว มันไม่ใช่เรื่องน่าปกปิดอีกต่อไป ตรงกันข้าม ผู้คนพร้อมเปิดเผยแบบหมดจดอีกต่างหาก
ถึงขนาดดาราสาวคนหนึ่งออกมาพูดในภาพยนตร์โฆษณาว่า ความสวยเปลี่ยนชีวิตเธอ เพื่อโฆษณาสถานเสริมความงาม
ในขณะที่ธุรกิจเสริมความงามก็เติบโตราวกับดอกเห็ด หญิงสาวจำนวนมากเดินเข้าสถานเสริมความงามอย่างไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกปิดอีกต่อไป
การเสริมจุดโน้น จุดนี้ วิทยาการ เทคโนโลยีของธุรกิจเสริมความงามก็เกิดสารพัดเทคนิคใหม่ๆ หญิงสาวเจอกันก็ชวนพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างโจ่งครึ่ม
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสสื่อมีส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้บรรดาหนุ่มสาวรุ่นใหม่อยากหล่ออยากสวยเหมือนดาราคนไหน จึงทำให้เกิดความอยากปรับจุดนั้นจุดนี้เพื่อหวังว่าจะดูดีขึ้น
ยิ่งตอนนี้กระแสเกาหลีมาแรง ทำให้บรรดาผู้ที่อยากจะมีใบหน้าละม้ายชาวเกาหลีต่างก็ต้องหันมาพึ่งศัลยกรรมเพื่อความอินเทรนด์ และกลายเป็นที่มาของเด็กวัยรุ่นจำนวนหนึ่งที่เสื้อผ้าหน้าผมละม้ายคล้ายกันไปหมด
เรื่องนี้เป็นสิทธิเสรีภาพค่ะ ไม่มีใครว่าอะไรใครได้ เพียงแต่สิ่งที่จะชวนคิดก็คือค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งเร้ารอบตัวที่ให้ความสำคัญในเรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นประเด็นสำคัญที่กำลังเกาะกินในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางกระแส “สวยสร้างได้”
ดูเหมือนเป็นเรื่องส่วนตัว แต่มันก็อธิบายปรากฏการณ์บางอย่างในบ้านเราได้ ว่าเด็กรุ่นใหม่จะเติบโตขึ้นไปแบบไหน เมื่อไม่พอใจรูปร่างหน้าตาก็สามารถปรับแต่งได้อย่างตามที่ต้องการ
ประโยคเด็ดขำๆ ที่ไม่ขำอย่าง “ทำบุญทำทานสวยชาติหน้า ทำนมทำหน้าสวยชาตินี้” สะท้อนค่านิยมและความคิดของคนรุ่นใหม่ต่อเรื่องความสวยความงามในยุคปัจจุบันอย่างมาก
และมันอาจสะท้อนอะไรหลายอย่างในชีวิตได้หรือไม่ว่า บางเรื่องที่เราทำสิ่งใดๆ นั้น เป็นเพราะเราห่วงเรื่องหน้าตา เรื่องภายนอก มากกว่าด้านในของจิตใจ !
ค่านิยมเรื่องหน้าตาดี รูปร่างดี กลายเป็นปัญหาใหญ่ของเด็กสาวในสมัยนี้ เพราะเห็นแบบอย่างในสังคม ที่ทุกกระแสต่างวิ่งเข้าสู่ค่านิยมนี้ ไม่ว่าจะเป็นถนนสายบันเทิงและธุรกิจจำนวนมาก ที่ใช้ผู้หญิงรูปร่างสวยหน้าตาดีเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นและยั่วยวนใจให้เด็กสาวรุ่นใหม่อยากดูดีเพราะมีรายได้ที่ดีรออยู่ข้างหน้า
และ..นั่นหมายถึง การยอมที่จะเสียเงินเสียทองเพื่อทำศัลยกรรมให้ตัวเองดูดีในสายตาของคนอื่น แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายต่อตัวเองก็ยอม
ที่น่าตกใจ คือ ค่านิยมเหล่านี้ได้เข้าไปอยู่ในครอบครัวด้วย มีพ่อแม่จำนวนมากที่พยายามเสกสรรปั้นแต่งลูกให้สวยงามดูดี หรือสร้างภาพลักษณ์ให้กับลูกตั้งแต่เด็ก สังเกตได้จากการจัดงานประกวดมากมาย ที่ส่งเสริมให้เด็กแต่งตัวเกินวัย และจับให้เด็กทำตัวแก่แดด แต่งหน้าแต่งตัวเกินเด็ก พ่อแม่ก็แห่แหนส่งลูกไปร่วมจำนวนมาก
เรียกว่าแทบจะกลบกระแสความสวยความงามที่มันต้องเริ่มจาก “จิตใจด้านใน” เป็นหลัก
เรื่องเหล่านี้พ่อแม่ไม่ควรมองข้ามไป เพราะแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ “พ่อแม่สร้างได้”
เริ่มจากการสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem)ให้ลูก ปลูกฝังตั้งแต่เล็ก เพราะจะมีผลต่อทุกช่วงพัฒนาการ และความภาคภูมิใจจะเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจให้ทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จ
แล้วทำได้อย่างไร?
หนึ่ง ส่งเสริมแรงบวก เริ่มจากพ่อแม่ต้องเชื่อว่าลูกทำสิ่งใดๆ ได้ถ้าพยายาม โดยการสนับสนุน กระตุ้นให้ลูกอยากลงมือทำ
สอง ปล่อยให้ลูกคิดและลงมือทำ ให้ลูกได้ฝึกคิดและลงมือทำตามความคิดของตนเอง หรือแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
สาม ชื่นชมเสมอ เมื่อลูกทำสิ่งใดๆ ด้วยตัวเอง แม้อาจยังไม่สัมฤทธิ์ผล แต่ขอให้ชื่นชมในความพยายามของเขา และส่งเสริมให้ลูกทำให้ดียิ่งขึ้น
สี่ รับฟังความคิดเห็น การรับฟังลูกอย่างตั้งใจ เป็นจุดเริ่มต้นของความไว้วางใจในตัวพ่อแม่
ห้า แสดงออกถึงความรัก วิธีง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองก็คือ การกอด หอมแก้ม บอกรัก
หก อย่าทำให้ลูกอายต้องหลีกเลี่ยงการพูดหรือคำพูดที่ทำให้ลูกรู้สึกอับอาย รวมถึงต้องไม่เปรียบเทียบลูกกับผู้อื่น
เจ็ด ส่งเสริมจุดเด่น ลูกทำสิ่งใดได้ดี ชอบทำอะไรก็ควรได้รับการส่งเสริม
แปด ฝึกให้ช่วยเหลือผู้อื่น ข้อนี้จะช่วยให้ลูกสร้างความรู้สึกที่ดีในตัวเอง ได้แบ่งปัน ได้ช่วยเหลือ ได้เห็นชีวิตของผู้คนที่แตกต่างไปจากตัวเอง ทำให้เขาเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้เด็กเกิดความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองก็สามารถทำอะไรดีๆ ได้มากมาย รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
เมื่อเขารู้สึกว่ามีกิจกรรมอะไรดีๆ มากมายที่สามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ผู้อื่น และสังคม เขาจะเรียนรู้เรื่องการมองชีวิต และจะทำให้มองเรื่องความสวยความงามจากภายนอกเป็นเรื่องรอง แต่การให้ความสำคัญจากคุณค่าด้านในของใจสำคัญกว่า
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วีไลน์ คือการทำหน้าเรียว หรือที่เรียกว่าหน้าแบบวีไลน์ คือ การทำหน้าให้ดูคางแคบมนเรียว หน้ารูปไข่ เป็นการผ่าตัดช่วงล่างของใบหน้าให้แคบและเรียวลง โดยมีการผ่าตัดรวมสองขั้นตอนหรือขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง โดยขั้นตอนที่หนึ่ง เป็นการผ่าตัดลดขนาดกราม (ตัดมุมกรามและตัดแยกกระดูกด้านนอกออก) และขั้นตอนที่สอง ลดความกว้างของกระดูกคาง
เรียกว่าเป็นวิธีการที่รู้จักกันดีในหมู่หญิงสาวที่รักสวยรักงาม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดความสูญเสียของบรรดาหญิงสาวที่รักสวยรักงาม และไม่ว่าจะมีตัวอย่างที่ผิดพลาดเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง แต่กระแสเรื่องการทำศัลยกรรมในบ้านเรากลับโตขึ้นสวนกระแสอย่างมาก !
ดิฉันยังจำได้ว่าในยุคสมัยหนึ่งเรื่องการทำศัลยกรรมมีไม่กี่อย่าง เช่น ทำจมูก ทำตาสองชั้น เสริมขนาดเต้านม ก็จัดเป็นเรื่องใหญ่แล้ว และยังเป็นเรื่องที่คนทำก็จะปกปิดไม่กล้าเปิดเผยให้ใครรู้ เพราะกระแสสังคมยังไม่รับกับเรื่องนี้มากนัก
ในวงการดารา ใครที่ลุกขึ้นมาบอกว่าทำศัลยกรรม ก็จะถูกมองแปลกๆ และเมาท์กันสนั่นเมือง
แต่ในยุคปัจจุบันดูเหมือนจะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง การทำศัลยกรรมกำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติของหญิงสาวที่รักสวยรักงามไปซะแล้ว มันไม่ใช่เรื่องน่าปกปิดอีกต่อไป ตรงกันข้าม ผู้คนพร้อมเปิดเผยแบบหมดจดอีกต่างหาก
ถึงขนาดดาราสาวคนหนึ่งออกมาพูดในภาพยนตร์โฆษณาว่า ความสวยเปลี่ยนชีวิตเธอ เพื่อโฆษณาสถานเสริมความงาม
ในขณะที่ธุรกิจเสริมความงามก็เติบโตราวกับดอกเห็ด หญิงสาวจำนวนมากเดินเข้าสถานเสริมความงามอย่างไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกปิดอีกต่อไป
การเสริมจุดโน้น จุดนี้ วิทยาการ เทคโนโลยีของธุรกิจเสริมความงามก็เกิดสารพัดเทคนิคใหม่ๆ หญิงสาวเจอกันก็ชวนพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างโจ่งครึ่ม
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสสื่อมีส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้บรรดาหนุ่มสาวรุ่นใหม่อยากหล่ออยากสวยเหมือนดาราคนไหน จึงทำให้เกิดความอยากปรับจุดนั้นจุดนี้เพื่อหวังว่าจะดูดีขึ้น
ยิ่งตอนนี้กระแสเกาหลีมาแรง ทำให้บรรดาผู้ที่อยากจะมีใบหน้าละม้ายชาวเกาหลีต่างก็ต้องหันมาพึ่งศัลยกรรมเพื่อความอินเทรนด์ และกลายเป็นที่มาของเด็กวัยรุ่นจำนวนหนึ่งที่เสื้อผ้าหน้าผมละม้ายคล้ายกันไปหมด
เรื่องนี้เป็นสิทธิเสรีภาพค่ะ ไม่มีใครว่าอะไรใครได้ เพียงแต่สิ่งที่จะชวนคิดก็คือค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งเร้ารอบตัวที่ให้ความสำคัญในเรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นประเด็นสำคัญที่กำลังเกาะกินในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางกระแส “สวยสร้างได้”
ดูเหมือนเป็นเรื่องส่วนตัว แต่มันก็อธิบายปรากฏการณ์บางอย่างในบ้านเราได้ ว่าเด็กรุ่นใหม่จะเติบโตขึ้นไปแบบไหน เมื่อไม่พอใจรูปร่างหน้าตาก็สามารถปรับแต่งได้อย่างตามที่ต้องการ
ประโยคเด็ดขำๆ ที่ไม่ขำอย่าง “ทำบุญทำทานสวยชาติหน้า ทำนมทำหน้าสวยชาตินี้” สะท้อนค่านิยมและความคิดของคนรุ่นใหม่ต่อเรื่องความสวยความงามในยุคปัจจุบันอย่างมาก
และมันอาจสะท้อนอะไรหลายอย่างในชีวิตได้หรือไม่ว่า บางเรื่องที่เราทำสิ่งใดๆ นั้น เป็นเพราะเราห่วงเรื่องหน้าตา เรื่องภายนอก มากกว่าด้านในของจิตใจ !
ค่านิยมเรื่องหน้าตาดี รูปร่างดี กลายเป็นปัญหาใหญ่ของเด็กสาวในสมัยนี้ เพราะเห็นแบบอย่างในสังคม ที่ทุกกระแสต่างวิ่งเข้าสู่ค่านิยมนี้ ไม่ว่าจะเป็นถนนสายบันเทิงและธุรกิจจำนวนมาก ที่ใช้ผู้หญิงรูปร่างสวยหน้าตาดีเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นและยั่วยวนใจให้เด็กสาวรุ่นใหม่อยากดูดีเพราะมีรายได้ที่ดีรออยู่ข้างหน้า
และ..นั่นหมายถึง การยอมที่จะเสียเงินเสียทองเพื่อทำศัลยกรรมให้ตัวเองดูดีในสายตาของคนอื่น แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายต่อตัวเองก็ยอม
ที่น่าตกใจ คือ ค่านิยมเหล่านี้ได้เข้าไปอยู่ในครอบครัวด้วย มีพ่อแม่จำนวนมากที่พยายามเสกสรรปั้นแต่งลูกให้สวยงามดูดี หรือสร้างภาพลักษณ์ให้กับลูกตั้งแต่เด็ก สังเกตได้จากการจัดงานประกวดมากมาย ที่ส่งเสริมให้เด็กแต่งตัวเกินวัย และจับให้เด็กทำตัวแก่แดด แต่งหน้าแต่งตัวเกินเด็ก พ่อแม่ก็แห่แหนส่งลูกไปร่วมจำนวนมาก
เรียกว่าแทบจะกลบกระแสความสวยความงามที่มันต้องเริ่มจาก “จิตใจด้านใน” เป็นหลัก
เรื่องเหล่านี้พ่อแม่ไม่ควรมองข้ามไป เพราะแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ “พ่อแม่สร้างได้”
เริ่มจากการสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem)ให้ลูก ปลูกฝังตั้งแต่เล็ก เพราะจะมีผลต่อทุกช่วงพัฒนาการ และความภาคภูมิใจจะเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจให้ทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จ
แล้วทำได้อย่างไร?
หนึ่ง ส่งเสริมแรงบวก เริ่มจากพ่อแม่ต้องเชื่อว่าลูกทำสิ่งใดๆ ได้ถ้าพยายาม โดยการสนับสนุน กระตุ้นให้ลูกอยากลงมือทำ
สอง ปล่อยให้ลูกคิดและลงมือทำ ให้ลูกได้ฝึกคิดและลงมือทำตามความคิดของตนเอง หรือแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
สาม ชื่นชมเสมอ เมื่อลูกทำสิ่งใดๆ ด้วยตัวเอง แม้อาจยังไม่สัมฤทธิ์ผล แต่ขอให้ชื่นชมในความพยายามของเขา และส่งเสริมให้ลูกทำให้ดียิ่งขึ้น
สี่ รับฟังความคิดเห็น การรับฟังลูกอย่างตั้งใจ เป็นจุดเริ่มต้นของความไว้วางใจในตัวพ่อแม่
ห้า แสดงออกถึงความรัก วิธีง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองก็คือ การกอด หอมแก้ม บอกรัก
หก อย่าทำให้ลูกอายต้องหลีกเลี่ยงการพูดหรือคำพูดที่ทำให้ลูกรู้สึกอับอาย รวมถึงต้องไม่เปรียบเทียบลูกกับผู้อื่น
เจ็ด ส่งเสริมจุดเด่น ลูกทำสิ่งใดได้ดี ชอบทำอะไรก็ควรได้รับการส่งเสริม
แปด ฝึกให้ช่วยเหลือผู้อื่น ข้อนี้จะช่วยให้ลูกสร้างความรู้สึกที่ดีในตัวเอง ได้แบ่งปัน ได้ช่วยเหลือ ได้เห็นชีวิตของผู้คนที่แตกต่างไปจากตัวเอง ทำให้เขาเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้เด็กเกิดความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองก็สามารถทำอะไรดีๆ ได้มากมาย รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
เมื่อเขารู้สึกว่ามีกิจกรรมอะไรดีๆ มากมายที่สามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ผู้อื่น และสังคม เขาจะเรียนรู้เรื่องการมองชีวิต และจะทำให้มองเรื่องความสวยความงามจากภายนอกเป็นเรื่องรอง แต่การให้ความสำคัญจากคุณค่าด้านในของใจสำคัญกว่า
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่