xs
xsm
sm
md
lg

รพ.จุฬาภรณ์ ตรวจพันธุกรรมรักษา “มะเร็งลำไส้ใหญ่” ฟรี! (ชมคลิป)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รพ.จุฬาภรณ์ ตรวจรักษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 2 ฟรี ถวายเป็นโครงการบำเพ็ญพระกุศล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ “เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์” เผยใช้เทคนิคตรวจพันธุกรรมเฉพาะบุคคลพิจารณาควรรับยาเคมีบำบัดหรือไม่ ลดเสี่ยงมะเร็งหวนคืน

วันนี้ (1 ก.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ศ.กิตติคุณ นพ.จรัส สุวรรณเวลา รองประธานบริหาร รพ.จุฬาภรณ์ แถลงข่าวโครงการบำเพ็ญพระกุศล ในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พ.ศ.2557 “โครงการตรวจรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 2 โดยใช้รหัสพันธุกรรมเฉพาะบุคคล” ว่า ที่ผ่านมา 5 ปี รพ.จุฬาภรณ์ ดำเนินโครงการบำเพ็ญพระกุศลเน้นในเรื่องการคัดกรองมะเร็ง ส่วนปีนี้เน้นเรื่องการตรวจรักษา ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าใหม่ เพราะมีการนำข้อมูลรหัสพันธุกรรมเฉพาะบุคคล มาใช้ในการดูแลรักษามะเร็ง ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าผู้ป่วยคนไหนควรรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด เนื่องจากเคมีบำบัดมีผลกระทบอาจทำให้เบื่ออาหาร ผมร่วง เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยบางรายไม่จำเป็นต้องใช้ การนำข้อมูลรหัสพันธุกรรมเฉพาะบุคคลมาใช้ในการตรวจรักษา จึงถือเป็นอีกความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น



ศ.กิตติคุณ นพ.จรัส กล่าวอีกว่า สาเหตุที่เลือกตรวจรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะเป็นโรคที่พบมากในไทย ทั้งในเขตเมืองและชนบท เห็นได้จากโครงการบำเพ็ญพระกุศลเมื่อปี 2552 ในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักในประชาชนที่ไม่มีอาการ 1,408 ราย พบเป็นมะเร็ง 19 ราย และพบติ่งเนื้อที่เสี่ยงเป็นมะเร็งอีก 200 ราย ขณะที่การตรวจประชาชน จ.ร้อยเอ็ด จำนวน 10,081 ราย พบเป็นมะเร็ง 10 ราย และติ่งเนื้ออีก 166 ราย

ผู้ป่วยที่ร่วมโครงการจะได้รับการตรวจรักษาฟรี โดยเก็บค่าใช้จ่ายตามสิทธิการรักษาทั้ง 3 กองทุนคือ กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนประกันสังคม และกองทุนสิทธิสวัสดิการข้าราชการ ส่วนค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากสิทธิการรักษา โครงการจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งโครงการนี้ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 55 ล้านบาท โดยรับผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการจำนวน 100 คน เริ่มรับผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค. 2557 เป็นต้นไป” ศ.กิตติคุณ นพ.จรัส กล่าว

นพ.วรวิทย์ ชัยวิริยะวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์มะเร็ง รพ.จุฬาภรณ์ กล่าวว่า หลังผ่าตัดรักษามะเร็งลำไส้ระยะที่ 2 บางรายมีความเสี่ยงที่จะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก คนกลุ่มนี้จึงควรได้รับการรักษาเสริมคือการให้ยาเคมีบำบัด ซึ่งการพิจารณาว่าควรได้รับยาเคมีบำบัดหรือไม่ คือกลุ่มผู้ป่วยที่มีการพยากรณ์โรคไม่ดี ซึ่งจะพิจารณาจากรหัสพันธุกรรมเฉพาะบุคคล ด้วยการตรวจทางพยาธิวิทยาด้วยกล้องจุลทรรศน์ว่า เซลล์มีการแบ่งตัวผิดปกติหรือไม่ ร่วมกับอาการอย่างอื่น เช่น มีอาการลำไส้อุดตัน ลำไส้แตกทะลุหรือไม่ ซึ่งเมื่อได้รับการรักษาเสริมด้วยยาเคมีบำบัด ก็จะควบคุมโรคได้มากขึ้น มีโอกาสหายขาด และกลับมาเป็นมะเร็งอีกน้อยลง ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการไม่ว่าจะได้รับยาเคมีบำบัดหรือไม่ จะต้องมีการตรวจติดตามว่าจะมีเนื้องอกใหม่หรือไม่เป็นเวลา 5 ปี โดยต้องมาตรวจทุก 3 เดือนใน 2-3 ปีแรก และทุก 6 เดือน ในปีที่ 3-5

นพ.วรวิทย์ กล่าวอีกว่า ผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการมีเกณฑ์ดังนี้ คือ 1. ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 20-65 ปี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง 2. ต้องเป็นผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 2 คือตรวจแล้วมะเร็งยังไม่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้ลำไส้ใหญ่ และส่วนที่เป็นมะเร็งต้องไม่ใช่ลำไส้ตรง 3. ต้องไม่เคยได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดมาก่อน และ 4. ยังไม่ได้รับการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือหากผ่าตัดหลังวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 2 แล้วต้องไม่เกิน 4 สัปดาห์ โดยต้องนำชิ้นเนื้อมาด้วย เพื่อหาข้อมูลรหัสพันธุกรรมเฉพาะบุคคล ซึ่งกรณีเช่นนี้โรงพยาบาลต่างๆ ที่รักษาสามารถส่งตัวผู้ป่วยเข้ามาร่วมโครงการได้เลย

หากยังไม่ได้รับการผ่าตัด และสงสัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 2 สามารถเดินทางมาตรวจวิเคราะห์ได้ที่ คลินิกประเมินความเสี่ยง รพ.จุฬาภรณ์ หากเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 2 ก็สามารถเข้าสู่โครงการได้เลย โดย รพ.จุฬาภรณ์ ได้ร่วมกับ รพ.ศิริราช ในการผ่าตัดรักษาด้วยการส่องกล้อง ซึ่งจะทำให้มีแผลเล็ก โอกาสการติดเชื้อน้อยลง ไม่กระทบต่อการให้ยาเคมีบำบัด แต่หากเป็นมะเร็งแต่ไม่ใช่ระยะที่ 2 ก็จะได้รับการรักษาต่อไป แต่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว” นพ.วรวิทย์ กล่าว

ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่





กำลังโหลดความคิดเห็น