เกือบครึ่งปี 2557 ป่วยโรคอาหารเป็นพิษแล้ว 5.5 หมื่นราย ยังไร้เสียชีวิต เตือน 10 เมนูสุดเสี่ยงกินแล้วจู๊ดๆ
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร) กล่าวว่า จากข้อมูลเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 9 มิ.ย. 2557 พบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษทั่วประเทศ 55,523 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่ป่วยมากที่สุด คือ คือ 45 - 54 ปี จังหวัดที่มีอัตราป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษสูงสุด 5 อันดับแรก คือ หนองบัวลำภู อุดรธานี นครพนม ปราจีนบุรี และอำนาจเจริญ ทั้งนี้ โรคอาหารเป็นพิษใช้อธิบายถึงอาการป่วยที่เกิดจากการกินอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ได้แก่ ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ พยาธิ ปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี หรือโลหะหนัก เป็นต้น ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การเก็บรักษา การประกอบอาหาร และการบริการอาหาร บางครั้งอาการอาหารเป็นพิษ อาจเกิดจากการบริโภคสิ่งที่เป็นพิษโดยตรง เช่น เมล็ดสบู่ดำ ลูกโพธิ์ ปลาปักเป้า คางคก เป็นต้น
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า การระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ พบได้จากการที่คนจำนวนมากกินอาหารปนเปื้อนร่วมกัน และมีอาการอย่างรวดเร็วหลังจากกินอาหารแล้ว อาการของโรคอาหารเป็นพิษ ส่วนใหญ่ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำและปวดมวนท้องรุนแรงเฉียบพลัน บางครั้งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้และปวดศีรษะ บางครั้งมีอาการคล้ายเป็นบิด ถ่ายอุจจาระปนเลือด หรือเป็นมูก ไข้สูง และมีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง เป็นโรคที่ไม่ค่อยรุนแรง มีระยะเวลาดำเนินโรค 1 - 7 วัน การติดเชื้อในระบบอื่นของร่างกายและการตายพบได้ แต่พบน้อยมาก ระยะฟักตัว ปกติ 6 - 25 ชั่วโมง หรืออยู่ในช่วง 4 - 30 ชั่วโมง การติดต่ออาหารที่ต้องให้ระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าปรุงไว้นานหรือค้างมือ 10 เมนู ได้แก่ ลาบและก้อยดิบ ยำกุ้งเต้น ยำหอยแครง ข้าวผัดโรยเนื้อปู อาหารผสมกะทิ หรือราดกะทิ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมจีน ข้าวมันไก่ ส้มตำ สลัดผัก น้ำและน้ำแข็ง
“โรคอาหารเป็นพิษ มักป่วยไม่รุนแรง รักษาได้ตามอาการ แต่ไม่แนะนำการให้ยาปฏิชีวนะ การป้องกันทำได้ตามกฎหลัก 11 ประการ คือ 1. เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี เช่น กินอาหารสุกใหม่เท่านั้น อาหารมีกะทิไม่ควรเก็บหากเหลือ ผักสดต้องล้างให้สะอาด 2. ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง 3. กินอาหารสุกใหม่ๆ ไม่เกิน 2 - 4 ชั่วโมงหลังปรุงเสร็จ 4. อาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน 5. อาหารที่ค้างมื้อต้องอุ่นให้ร้อนก่อน 6. แยกอาหารดิบและอาหารสุก ระวังการปนเปื้อน ส่วนอาหารถุงและอาหารกล่อง ควรบรรจุแยกกันระหว่างข้าวและกับข้าว 7. ล้างมือก่อนจับต้องอาหาร 8. รักษาความสะอาดของห้องครัว อุปกรณ์ และการกิน 9. เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู 10. เลือกน้ำดื่มและน้ำแข็งที่บรรจุภัณฑ์มีเครื่องหมาย อย. ภาชนะปิดแน่น ไม่นำน้ำแข็งที่ใช้แช่ของมากิน และ 11. ส้มตำที่นิยมกินกันมาก ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะการปรุงจะใส่วัตถุดิบที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค ทั้งปลาร้า ปูดอง ผักสด ทั้งมะละกอ มะเขือ หากล้างไม่สะอาดจะทำให้เสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วงได้ง่าย มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น เช่น อาเจียนมาก รับประทานอาหารและน้ำไม่ได้ ถ่ายเหลวไม่หยุด มีไข้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ให้รีบมาพบแพทย์” อธิบดี คร. กล่าว
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ "Quality of Life" ได้ที่
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร) กล่าวว่า จากข้อมูลเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 9 มิ.ย. 2557 พบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษทั่วประเทศ 55,523 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่ป่วยมากที่สุด คือ คือ 45 - 54 ปี จังหวัดที่มีอัตราป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษสูงสุด 5 อันดับแรก คือ หนองบัวลำภู อุดรธานี นครพนม ปราจีนบุรี และอำนาจเจริญ ทั้งนี้ โรคอาหารเป็นพิษใช้อธิบายถึงอาการป่วยที่เกิดจากการกินอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ได้แก่ ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ พยาธิ ปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี หรือโลหะหนัก เป็นต้น ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การเก็บรักษา การประกอบอาหาร และการบริการอาหาร บางครั้งอาการอาหารเป็นพิษ อาจเกิดจากการบริโภคสิ่งที่เป็นพิษโดยตรง เช่น เมล็ดสบู่ดำ ลูกโพธิ์ ปลาปักเป้า คางคก เป็นต้น
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า การระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ พบได้จากการที่คนจำนวนมากกินอาหารปนเปื้อนร่วมกัน และมีอาการอย่างรวดเร็วหลังจากกินอาหารแล้ว อาการของโรคอาหารเป็นพิษ ส่วนใหญ่ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำและปวดมวนท้องรุนแรงเฉียบพลัน บางครั้งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้และปวดศีรษะ บางครั้งมีอาการคล้ายเป็นบิด ถ่ายอุจจาระปนเลือด หรือเป็นมูก ไข้สูง และมีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง เป็นโรคที่ไม่ค่อยรุนแรง มีระยะเวลาดำเนินโรค 1 - 7 วัน การติดเชื้อในระบบอื่นของร่างกายและการตายพบได้ แต่พบน้อยมาก ระยะฟักตัว ปกติ 6 - 25 ชั่วโมง หรืออยู่ในช่วง 4 - 30 ชั่วโมง การติดต่ออาหารที่ต้องให้ระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าปรุงไว้นานหรือค้างมือ 10 เมนู ได้แก่ ลาบและก้อยดิบ ยำกุ้งเต้น ยำหอยแครง ข้าวผัดโรยเนื้อปู อาหารผสมกะทิ หรือราดกะทิ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมจีน ข้าวมันไก่ ส้มตำ สลัดผัก น้ำและน้ำแข็ง
“โรคอาหารเป็นพิษ มักป่วยไม่รุนแรง รักษาได้ตามอาการ แต่ไม่แนะนำการให้ยาปฏิชีวนะ การป้องกันทำได้ตามกฎหลัก 11 ประการ คือ 1. เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี เช่น กินอาหารสุกใหม่เท่านั้น อาหารมีกะทิไม่ควรเก็บหากเหลือ ผักสดต้องล้างให้สะอาด 2. ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง 3. กินอาหารสุกใหม่ๆ ไม่เกิน 2 - 4 ชั่วโมงหลังปรุงเสร็จ 4. อาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน 5. อาหารที่ค้างมื้อต้องอุ่นให้ร้อนก่อน 6. แยกอาหารดิบและอาหารสุก ระวังการปนเปื้อน ส่วนอาหารถุงและอาหารกล่อง ควรบรรจุแยกกันระหว่างข้าวและกับข้าว 7. ล้างมือก่อนจับต้องอาหาร 8. รักษาความสะอาดของห้องครัว อุปกรณ์ และการกิน 9. เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู 10. เลือกน้ำดื่มและน้ำแข็งที่บรรจุภัณฑ์มีเครื่องหมาย อย. ภาชนะปิดแน่น ไม่นำน้ำแข็งที่ใช้แช่ของมากิน และ 11. ส้มตำที่นิยมกินกันมาก ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะการปรุงจะใส่วัตถุดิบที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค ทั้งปลาร้า ปูดอง ผักสด ทั้งมะละกอ มะเขือ หากล้างไม่สะอาดจะทำให้เสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วงได้ง่าย มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น เช่น อาเจียนมาก รับประทานอาหารและน้ำไม่ได้ ถ่ายเหลวไม่หยุด มีไข้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ให้รีบมาพบแพทย์” อธิบดี คร. กล่าว
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ "Quality of Life" ได้ที่