สบส.- อย.- สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ จ่อคุมเข้มการฉีดฟิลเลอร์ พร้อมเพิ่มโทษ หลังพบในไทยฉีดจมูกแล้วทำให้ตาบอดถึง 8 ราย เหตุเส้นเลือดไปเลี้ยงตา หากพลาดจะกดทับเส้นเลือดไม่ไปเลี้ยงตา จนตาบอด ระบุยังไม่มีกฎหมายห้ามฉีดฟิลเลอร์ที่จมูก หากแพทย์ใช้สารเกินข้อบ่งชี้ ต้องใช้ดุลพินิจ
วันนี้ (12 มิ.ย.) น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรรัตน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แถลงข่าวเรื่อง “มาตรการกวาดล้างสถานพยาบาลเถื่อน” ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ว่า หลังจากได้รับการร้องเรียนว่าสถานพยาบาลพีเอฟซี ย่านสุทธิสาร มีการใช้บุคลากรที่ไม่ใช่แพทย์ในการฉีดสารเติมเต็ม (ฟิลเลอร์) ที่จมูก ส่งผลให้ผู้เข้ารักษาตาบอด จากการเข้าจับกุมและตรวจสอบ พบว่า สถานที่ดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นสถานพยาบาล เข้าข่ายคลินิกเถื่อนและใช้บุคคลที่ไม่ใช่แพทย์มาให้การรักษา มีโทษตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และร่วมกันประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท
“จากการหารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ พบว่าปัญหาจากการศัลยกรรม โดยเฉพาะการฉีดฟิลเลอร์มีเพิ่มมากขึ้น จึงจะมีการทบทวนแนวทางการควบคุมการฉีดฟิลเลอร์ คือ 1. เร่งยกร่างปรับปรุงกฎหมายสถานพยาบาล โดยเพิ่มโทษทั้งจำคุกและปรับ สำหรับผู้ที่ลักลอบเปิดสถานพยาบาล ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและใช้สารที่ไม่ได้รับอนุญาต 2. เร่งตรวจสอบคลินิกในกลุ่ม เสี่ยง 3. อบรมเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมเพื่อตั้งทีมเคลื่อนที่เร็วกรณีที่พบปัญหา และ 4. ตรวจสอบสื่อโซเชียลมีเดียทุกรูปแบบให้เข้มงวดมากขึ้น โดยประชาชนสามารถช่วยกันแจ้งปัญหาได้ที่สายด่วน 02-1937999” อธิบดี สบส. กล่าว
รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ กล่าวว่า ไทยมีรายงานการฉีดฟิลเลอร์ แล้วเกิดผลกระทบจนตาบอดแล้ว 8 ราย ส่วนใหญ่เกิดจากการฉีดเพื่อตกแต่งจมูก โดยมีทั้งทำในไทยและเกาหลี ส่วนต่างประเทศพบรายงาน 44 ราย ทั้งนี้ ข้อบ่งชี้การฉีดฟิลเลอร์ คือ เพื่อเติมรอยหลุมบริเวณคาง โหนกแก้ม และริมฝีปาก ส่วนบริเวณรอบดวงตาเป็นบริเวณที่อันตราย เพราะมีเส้นเลือดจำนวนมากที่ไปเลี้ยงดวงตา การฉีดพลาดจะทำให้สารเข้าไปกดทับเส้นเลือดและทำให้ตาบอดถาวรได้ทันที
“สารเติมเต็มเป็นสารสังเคราะห์ ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้หลายอย่าง ทั้งการติดเชื้อ การแพ้สารและผลข้างเคียง ที่น่าเป็นห่วงคือการเข้าไปกดทับหลอดเลือด ซึ่งการรักษาจะมีข้อบ่งชี้ในการใช้สารอย่างชัดเจน ในกรณีที่แพทย์ใช้สารต่างๆ เกินกว่าข้อบ่งชี้ ต้องใช้ดุลพินิจของแพทย์ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องอันตรายที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะทำให้เกิดการสูญเสียดวงตาอย่างถาวร แม้ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายหรือกติกาที่ชัดเจนว่า การฉีดฟิลเลอร์บริเวณจมูกไม่สามารถทำได้ จึงต้องขอความร่วมมือจากแพทย์ต่อไป อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรมีความรู้เพื่อเลือกตัดสินใจได้ด้วยตัวเองส่วนแพทย์ที่กระทำก็จำเป็นต้องได้รับโทษที่หนักมากขึ้น” รศ.นพ.นภดล กล่าว
ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ฟิลเลอร์ เป็นสารที่ต้องฉีดเข้าร่างกายซึ่งต้องผ่านการอนุมัติและขึ้นทะเบียนจาก อย. ก่อน เพราะสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อ การแพ้ และเกิดพิษต่อร่างกายได้ ในการฉีดแต่ละครั้งหากประชาชนไม่มั่นใจควรขอดูกล่องและฉลากก่อนว่าผ่านการขึ้นทะเบียนหรือไม่ หาก อย. ตรวจพบว่าเป็นการลักลอบจำหน่ายหรือนำมาใช้ ก็จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (12 มิ.ย.) น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรรัตน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แถลงข่าวเรื่อง “มาตรการกวาดล้างสถานพยาบาลเถื่อน” ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ว่า หลังจากได้รับการร้องเรียนว่าสถานพยาบาลพีเอฟซี ย่านสุทธิสาร มีการใช้บุคลากรที่ไม่ใช่แพทย์ในการฉีดสารเติมเต็ม (ฟิลเลอร์) ที่จมูก ส่งผลให้ผู้เข้ารักษาตาบอด จากการเข้าจับกุมและตรวจสอบ พบว่า สถานที่ดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นสถานพยาบาล เข้าข่ายคลินิกเถื่อนและใช้บุคคลที่ไม่ใช่แพทย์มาให้การรักษา มีโทษตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และร่วมกันประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท
“จากการหารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ พบว่าปัญหาจากการศัลยกรรม โดยเฉพาะการฉีดฟิลเลอร์มีเพิ่มมากขึ้น จึงจะมีการทบทวนแนวทางการควบคุมการฉีดฟิลเลอร์ คือ 1. เร่งยกร่างปรับปรุงกฎหมายสถานพยาบาล โดยเพิ่มโทษทั้งจำคุกและปรับ สำหรับผู้ที่ลักลอบเปิดสถานพยาบาล ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและใช้สารที่ไม่ได้รับอนุญาต 2. เร่งตรวจสอบคลินิกในกลุ่ม เสี่ยง 3. อบรมเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมเพื่อตั้งทีมเคลื่อนที่เร็วกรณีที่พบปัญหา และ 4. ตรวจสอบสื่อโซเชียลมีเดียทุกรูปแบบให้เข้มงวดมากขึ้น โดยประชาชนสามารถช่วยกันแจ้งปัญหาได้ที่สายด่วน 02-1937999” อธิบดี สบส. กล่าว
รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ กล่าวว่า ไทยมีรายงานการฉีดฟิลเลอร์ แล้วเกิดผลกระทบจนตาบอดแล้ว 8 ราย ส่วนใหญ่เกิดจากการฉีดเพื่อตกแต่งจมูก โดยมีทั้งทำในไทยและเกาหลี ส่วนต่างประเทศพบรายงาน 44 ราย ทั้งนี้ ข้อบ่งชี้การฉีดฟิลเลอร์ คือ เพื่อเติมรอยหลุมบริเวณคาง โหนกแก้ม และริมฝีปาก ส่วนบริเวณรอบดวงตาเป็นบริเวณที่อันตราย เพราะมีเส้นเลือดจำนวนมากที่ไปเลี้ยงดวงตา การฉีดพลาดจะทำให้สารเข้าไปกดทับเส้นเลือดและทำให้ตาบอดถาวรได้ทันที
“สารเติมเต็มเป็นสารสังเคราะห์ ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้หลายอย่าง ทั้งการติดเชื้อ การแพ้สารและผลข้างเคียง ที่น่าเป็นห่วงคือการเข้าไปกดทับหลอดเลือด ซึ่งการรักษาจะมีข้อบ่งชี้ในการใช้สารอย่างชัดเจน ในกรณีที่แพทย์ใช้สารต่างๆ เกินกว่าข้อบ่งชี้ ต้องใช้ดุลพินิจของแพทย์ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องอันตรายที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะทำให้เกิดการสูญเสียดวงตาอย่างถาวร แม้ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายหรือกติกาที่ชัดเจนว่า การฉีดฟิลเลอร์บริเวณจมูกไม่สามารถทำได้ จึงต้องขอความร่วมมือจากแพทย์ต่อไป อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรมีความรู้เพื่อเลือกตัดสินใจได้ด้วยตัวเองส่วนแพทย์ที่กระทำก็จำเป็นต้องได้รับโทษที่หนักมากขึ้น” รศ.นพ.นภดล กล่าว
ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ฟิลเลอร์ เป็นสารที่ต้องฉีดเข้าร่างกายซึ่งต้องผ่านการอนุมัติและขึ้นทะเบียนจาก อย. ก่อน เพราะสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อ การแพ้ และเกิดพิษต่อร่างกายได้ ในการฉีดแต่ละครั้งหากประชาชนไม่มั่นใจควรขอดูกล่องและฉลากก่อนว่าผ่านการขึ้นทะเบียนหรือไม่ หาก อย. ตรวจพบว่าเป็นการลักลอบจำหน่ายหรือนำมาใช้ ก็จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่