ผู้บริโภคชี้แจกคูปองกล่องดิจิตอลใช้งบสูงถึง 22,000 ล้านบาท ทำรัฐเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาท แถมขัดต่อรัฐธรรมนูญ จี้ตอบคำถามเรื่องเงินทอน การทุจริต
วันนี้ (30 เม.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ห้องบอร์ดรูม ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน กทม. น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงข่าว “แจกคูปอง Set Top Box ใครได้? ใครเสีย?” ว่า จากมติของ กสท.เมื่อวันที่ 21 เม.ย. กำหนดแนวทางการแจก “คูปองส่วนลด” เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบทีวีดิจิตอล โดยกำหนดให้แจกคูปองสำหรับกล่องหรือใช้เป็นส่วนลดการซื้อทีวี ทั้งนี้ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค มีข้อเสนอเพื่อให้ทบทวน ดังนี้ 1. ขอให้ กสท. ยุติการทำให้รัฐเสียหายไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท จากการเตรียมการแจกคูปองราคา 1,000 บาท ให้กับ 22 ล้านครัวเรือน เท่ากับว่า กสท. ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 22,000 ล้านบาท ทั้งที่กล่องมีราคาเพียง 416 บาท หรือ 512 บาท รวมเสาอากาศ ก็เป็นราคาที่มีกำไรแล้ว พร้อมเรียกร้องกรรมการกองทุน และ กสทช. ทบทวนโดยด่วน
2. กสท. กำลังดำเนินการขัดต่อประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ พ.ศ. 2556 ที่กำหนดให้ กสทช. นำเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ส่งกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ทั้งนี้ เงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในส่วนของราคาขั้นต่ำ จะนำไปใช้เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้รับบริการด้านกิจการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลอย่างทั่วถึง ซึ่งราคาขั้นต่ำในการประมูลได้รับงบประมาณเพียง 15,190 ล้านบาท
3. การดำเนินการของ กสท. ในครั้งนี้ อาจจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 47 ที่จะต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การที่ กสท. มีมติแจกคูปองสำหรับกล่องรับสัญญาณดาวเทียมด้วย ซึ่งสามารถดูทีวีดิจิตอลได้เพียง 36 ช่อง ซึ่งขัดกับมติแรกเริ่มของ กสท. ที่ตั้งใจจะให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อกสู่ดิจิตอลที่ผู้บริโภคทุกคนมีโอกาสดูทีวีดิจิตอล 48 ช่อง ทำให้แผนดังกล่าวไม่เป็นจริง แต่หากยืนยันเช่นนี้ ก็จะทำให้การวางแผนมีทีวีชุมชนที่ไม่สามารถดูได้จากกล่องเหล่านี้ และหากผู้บริโภคต้องการรับชมช่องรายการทีวีชุมชน ก็ต้องไปซื้อกล่องรับสัญญาณภาคพื้นดิน (Set Top Box) หรือซื้อทีวีที่มีการรองรับระบบดิจิตอลต่างหาก จึงเป็นภาระแก่ผู้บริโภคอย่างมาก
4. กสท. ต้องตอบคำถามให้ชัดเจนเรื่องเงินทอน การทุจริต หรือการเลือกใช้วิธีการอื่นทดแทนการแจกคูปอง ทางออกที่น่าจะดีกว่า คือ กสท. กำหนดมาตรฐานคุณภาพกล่องรับสัญญาณดิจิตอล ใช้วิธีการประมูลโดยมีเงื่อนไข แจกกล่องรับสัญญาณแก่ประชาชนโดยตรง รับประกันสินค้า และบริการหลังการขาย หรือต่อรองในการซื้อกล่องที่มีคุณภาพจำนวนมากถึง 22 ล้านกล่อง น่าจะลดการใช้งบประมาณของประเทศได้ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท
5. ผลักภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้บริโภคทั้งที่มีวัตถุประสงค์ลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนผ่าน ในอีกด้านหนึ่งเป็นการตั้งราคาที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม หรือผู้ผลิตโทรทัศน์ดิจิตอล จากข้อมูลการสำรวจราคากล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลของนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เมื่อ 15 วันที่ผ่านมา พบว่า มีการจำหน่ายกล่องในราคาต่ำสุด 690 บาท แต่จากการสำรวจครั้งที่สองเมื่อวันที่ 28 เมษายนห์ที่ผ่านมา พบว่า ไม่มีสินค้าราคาดังกล่าวในท้องตลาดปัจจุบัน หลังจากมีการเพิ่มราคาคูปองของ กสทช. 1,000 บาท นอกจากนี้การเคาะราคาคูปองที่ 1,000 บาทของ กสท. ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่จำหน่ายกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลหลายรายตั้งราคาขายสูงกว่าราคาคูปอง ซึ่งแม้ราคากล่องรับสัญญาณจะสูงกว่าราคาคูปองที่แจก แต่ช่องรายการที่เป็นที่ต้องการรับชมของผู้บริโภคมากกว่า จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ที่ได้รับคูปองจะนำไปใช้เป็นส่วนลดแลกซื้อกล่องของบรรดาผู้ให้บริการเคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม มากกว่าทีจะนำไปใช้แลกซื้อกล่องที่ผลิตขึ้นมาเพื่อรับเฉพาะสัญญาณทีวีดิจิตอล ซึ่งหากเป็นแบบนั้นเป้าหมายของ กสท. ที่ต้องการให้เกิดช่องรายการคุณภาพ ช่องรายการเพื่อสังคม สาธารณประโยชน์ และช่องรายการสำหรับเด็กและเยาวชน อาจไม่เกิดขึ้นจริง เพราะผู้บริโภคเลือกที่จะไปรับชมรายการจากต่างประเทศในเคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม ทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินเพื่อการรับชมทีวีเพิ่มขึ้น
และ 6. มีขั้นตอนการดำเนินงานที่ผิดพลาด ในเรื่อง “ขั้นตอนการแจกคูปอง” ของ กสท. ทำให้เกิดผลกระทบแก่ผู้บริโภค เนื่องจาก กสท. ใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภครับทราบว่าจะมีการทดลองออกอากาศทีวีในระบบดิจิตอลในเดือนเมษายน ขณะที่จะมีการแจกคูปองในเดือนมิถุนายน เมื่อผู้บริโภครับทราบถึงการทดลองออกอากาศ ย่อมมีความต้องการดูทีวีในระบบดิจิตอลมากขึ้น จึงจำเป็นต้องซื้อกล่องตามแรงโฆษณาของทุกสถานีในปัจจุบัน ทำให้ต้องไปเสียเงินโดยไม่มีความจำเป็น ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจกล่องหรือไม่ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคและองค์กรภาคประชาชน จึงขอเรียกร้องให้ กสท. ทบทวนทั้ง 6 ประการข้างต้น และเรียกร้องให้กรรมการกองทุน และ กสทช. ไม่เห็นชอบต่อมติของ กสท. ในเรื่องนี้