xs
xsm
sm
md
lg

อย่าอายที่จะสอนเรื่องเพศกับลูก / ดร.แพง ชินพงศ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
เมื่อพูดถึงเรื่องเพศ คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นสิ่งน่าอายที่ไม่ควรพูดถึง โดยเฉพาะในวัฒนธรรมของคนไทยด้วยแล้ว มักถูกสอนว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ควรปกปิดและไม่ควรนำมาพูดอย่างเปิดเผย ซึ่งแท้จริงแล้วเราต่างก็รู้ว่าเรื่องเพศนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ จากงานวิจัยพบว่าเด็กมักเรียนรู้เรื่องเพศจากเพื่อนและจากโรงเรียนมากกว่าเรียนรู้จากครอบครัว แต่จริงๆแล้วการสอนให้เด็กมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องเพศนั้น ไม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนหรือของคุณครูเป็นหลัก แต่พ่อแม่ควรเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารเรื่องเพศที่ถูกต้องและสร้างสรรค์แก่ลูก เพื่อลูกจะได้มีความรู้ความเข้าใจและหากลูกมีปัญหาหรือข้อสงสัยในเรื่องนี้ เขาจะได้ไม่อายที่จะมาปรึกษากับพ่อแม่ ซึ่งเรื่องเพศที่พ่อแม่ควรสอนให้กับลูกมีดังนี้
1.สอนเรื่องเพศกำเนิดของลูก จากทฤษฎีพัฒนาการของเด็กวัย 4-8 ปี เด็กจะเริ่มสนใจว่าเพศตนเองคือเพศใด เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย และจะสนใจความแตกต่างของเพศตรงข้ามกับตน ตัวอย่างเช่น เด็กที่มีพี่น้องที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน อาจจะมีโอกาสได้เห็นอวัยวะเพศของพี่หรือน้องเวลาอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งเด็กอาจจะเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงแตกต่างจากของตนเอง พ่อแม่จึงต้องทำหน้าที่ในการสร้างความเข้าใจ และอธิบายให้ลูกฟังเช่น “หนูเป็นผู้หญิง ส่วนน้องเป็นผู้ชาย มีอวัยวะที่เหมือนกันเกือบหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ปาก แขน ขา ก้น แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือ อวัยวะเพศ ที่เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย”
2.สอนให้เด็กดูแลรักษาความสะอาดอวัยวะเพศของตน เวลาอาบน้ำพ่อแม่ควรสอนให้ลูกฟอกสบู่ที่อวัยวะเพศทุกครั้ง และสอนให้ทำความสะอาดอวัยวะเพศหลังปัสสาวะ สำหรับเด็กผู้หญิง หลังจากปัสสาวะเสร็จแล้วต้องใช้น้ำฉีดหรือน้ำล้างและใช้กระดาษชำระซับเบาๆ ให้แห้งทุกครั้ง ถ้าไม่มีน้ำชำระ อาจต้องใช้กระดาษทิชชูแบบเปียกเช็ด โดยสอนให้เช็ดจากด้านหน้าของอวัยวะไปทางด้านหลังเพื่อความสะอาดปลอดภัยและให้ใช้ทิชชูแห้งซับเบาๆ จนแห้ง ส่วนเด็กผู้ชายเมื่อปัสสาวะเสร็จแล้วควรสอนให้ลูกสะบัดทุกครั้งเป็นนิสัยเพื่อรักษาความสะอาด นอกจากนี้พ่อแม่ควรสอนให้ลูกใส่กางเกงชั้นในตั้งแต่สามารถดูแลตัวเองได้ เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกสัมผัสกับอวัยวะเพศของลูกได้โดยตรงและพ่อแม่ต้องเอาใจใส่ดูแลความสะอาดของกางเกงชั้นในของลูกด้วย
เคยมีกรณีเด็กผู้หญิงอายุ4ขวบคนหนึ่งที่ชอบเอามือเข้าไปจับอวัยวะเพศในเวลาที่ใส่กางเกงชั้นในอยู่ตลอด คุณพ่อคุณแม่ต่างกังวลเพราะตรวจดูก็เห็นว่าอวัยวะเพศของลูกดูปกติ ในที่สุดจึงพาไปพบแพทย์และค้นพบสาเหตุว่าเด็กเป็นเชื้อราจากการที่ใส่กางเกงชั้นในที่ไม่สะอาด
3.สอนเรื่องเด็กเกิดมาจากไหน เด็กในวัย 4-8 ขวบเป็นช่วงวัยแห่งความอยากรู้อยากเห็น จึงอาจเป็นไปได้ที่ลูกอาจจะถามคำถามเรื่องเพศกับคุณพ่อคุณแม่ได้ ซึ่งการที่จะหาคำตอบให้กับลูกในวัยนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องหาคำพูดง่ายๆ ที่เด็กจะสามารถเข้าใจได้ทันที และคำถามยอดฮิตที่เด็กๆชอบถามคุณพ่อคุณแม่ “เด็กเกิดมาจากไหน” และส่วนใหญ่พ่อแม่ก็เลือกที่จะตอบลูกง่ายๆ ว่า “เกิดมาจากความรักของพ่อแม่”
ผู้เขียนเคยได้ดูรายการของเกาหลีรายการหนึ่ง เป็นรายการที่ให้คุณพ่อเป็นคนเลี้ยงลูกแทนคุณแม่ 48 ชั่วโมง มีครอบครัวหนึ่งคุณพ่อต้องเลี้ยงลูกชาย 2 คน วันหนึ่งอยู่ๆ ลูกชายวัย 4 ขวบถามคุณพ่อว่า “พ่อครับ เด็กเกิดมาได้อย่างไร” คุณพ่อคนนี้อธิบายลูกได้อย่างน่ารักว่า ในตัวผู้ชายจะมีสเปิร์มอยู่เยอะแยะมากมาย แต่สเปิร์มตัวแข็งแรงที่สุดจะได้มาพบรักกับไข่ แล้วก็เกิดมาเป็นคน” ซึ่งเด็กๆ ก็พอใจในคำตอบนั้น
4.สอนให้เด็กระมัดระวังปกป้องของสงวนของตน เรื่องนี้เป็นที่สำคัญมาก พ่อแม่ควรสอนลูกตั้งแต่เล็กๆอย่างเอาจริงเอาจังให้ลูกรู้จักระมัดระวังตนเองโดยไม่ยอมให้คนอื่นมาดูหรือจับต้องอวัยวะเพศของตนอย่างเด็ดขาด อีกทั้งถ้ามีใครมาแอบดูเวลาลูกเข้าห้องน้ำหรือมาจับต้องของสงวนทั้งที่บ้านและโรงเรียน ให้ลูกบอกกับพ่อแม่หรือครูทันที
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นวิธีการสอนและดูแลเรื่องเพศให้กับลูกในวัยเด็กเล็ก เมื่อลูกโตขึ้นเป็นวัยรุ่น พ่อแม่ก็ไม่ควรที่จะละเลยในการสอนและดูแลลูกในเรื่องเพศให้มากขึ้น โดยเน้นการสอนให้ลูกดูแลตนเองโดยสอนไม่ให้ลูกอยู่กับเพื่อนต่างเพศโดยลำพังไม่ว่าจะบริสุทธิ์ใจกันแค่ไหนก็ตาม การสอนให้ลูกผู้ชายให้เกียรติผู้หญิงโดยไม่ลวนลามทั้งการพูดและการกระทำ และสอนให้ลูกผู้หญิงรักนวลสงวนตัว ไม่แต่งกายล่อแหลมหรืออยู่ในสถานที่ๆเป็นแหล่งมัวเมามั่วสุม
ปัจจุบันเด็กไทยตั้งครรภ์ในวัยเรียนและมีโรคทางเพศสัมพันธ์ค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู นอกจากจะสอนเรื่องเกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิด การกินยาคุมกำเนิด การใช้ถุงยางอนามัยแล้ว สิ่งแรกที่ควรจะสอนเด็กๆคือการสอนให้เด็กเห็นความสำคัญของการรู้จักคุณค่าในตัวเอง(self esteem) และการมีจิตสำนึกที่รักนวลสงวนตัว (to be reserved) เพราะนี่เป็นการสอนให้เด็กมีเกราะป้องกันที่ดีในการไม่ต้องตกเป็นเหยื่อในทางเพศนั่นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น