สปสช.ระบุกรณีรถพยาบาลฉุกเฉิน รพ.ลันตา พลิกคว่ำ จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย รวมเด็กทารกในครภ์ และบาดเจ็บ 4 ราย ได้รับชดเชยตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ ตั้งแต่ 2.4 แสนบาท ถึง 4 แสนบาท มอบอนุกรรมการฯ ระดับจังหวัดพิจารณา
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีรถพยาบาลฉุกเฉิน รพ.เกาะลันตา เกิดอุบัติพลิกคว่ำบริเวณถนนสายหัวหิน-ห้วยน้ำขาว ม.10 ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองทอม จ.กระบี่ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย เสียชีวิต 2 ราย ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนับเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะเกิดจากสภาพถนนลื่นหลังฝนตก ซึ่งเป็นทางระหว่างรถพยาบาลฉุกเฉินวิ่งนำส่งนางสาเราะห์ วะเจดีย์ อายุ 17 ปี ท้องแก่ 9 เดือนและใกล้คลอด ไป รพ.ลันตา เพื่อคลอดลูก ถือว่าอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ สำหรับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ในส่วนของผู้รับบริการ สปสช.จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 กรณีที่ได้รับความเสียหายที่เกิดจากการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยของหน่วยบริการโดยมิต้องรอพิสูจน์ โดยกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพอย่างถาวร หรือเจ็บป่วยเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาตลอดชีวิต และมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำรงชีวิต จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ตั้งแต่ 240,000 บาท แต่ไม่เกิน 400,000 บาท กรณีสูญเสียอวัยวะ หรือพิการที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 240,000 บาท และกรณีบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ไม่เกิน 100,000 บาท
นพ.วินัย กล่าวว่า กรณีที่ทารกเสียชีวิตในครรภ์ระหว่างการดูแลของหน่วยบริการ ตามข้อบังคับกำหนดให้มีการชดเชยความเสียหายที่ต้องเป็นไปตามเกณฑ์การพิจารณา ซึ่งจะได้รับการชดเชยเท่ากับอัตรากรณีผู้รับบริการเสียชีวิต หรือทุพพลภาพอย่างถาวร โดยกรณีนี้หากมารดาได้รับความเสียหายอื่นด้วย ก็ให้ได้รับเงินช่วยเหลือได้อีกตามประเภทความเสียหายที่ได้รับ ทั้งนี้ กรณีที่เกิดขึ้นนี้ ทาง “คณะอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นระดับจังหวัด” จะเป็นผู้พิจารณา ส่วนการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในส่วน “ผู้ให้บริการ” ให้ดำเนินการตาม “ข้อบังคับคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข พ.ศ.2556” มีอัตราการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายอัตราเดียวกับผู้รับบริการ โดยมีคณะอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณา
นพ.วินัย กล่าวว่า ภายหลังจากการดำเนินการตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ตั้งแต่ปี 2551-2555 มีผู้รับบริการที่ยื่นคำร้องขอรับการชดเชยทั้งสิ้น 4,260 ราย หรือเฉลี่ย 852 ราย/ปี ในจำนวนนี้เข้าเกณฑ์การรับการชดเชยทั้งสิ้น 3,531 ราย หรือเฉลี่ย 706.2 ล้านบาท/ปี เป็นจำนวนเงินที่จ่ายชดเชย 401.85 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 82.17 ล้านบาท/ปี โดยภาพรวมการร้องทุกข์เพื่อขอรับการชดเชยความเสียหายในช่วง 5 ปี มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปี 2555 อยู่ที่ 951 ราย มีการจ่ายค่าชดเชย 64.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ 658 ราย จำนวนเงินค่าชดเชยอยู่ที่ 98,63 ล้านบาท ขณะที่การชดเชยส่วนผู้ให้บริการ ตามาตรา 18(4) พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยในปี 2554-2555 มีผู้ให้บริการยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 624 ราย เข้าหลักเกณฑ์รับการชดเชยคิดเป็น 511 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 81.89 โดยจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือทั้งหมด 4.50 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการจ่ายกรณีบาดเจ็บและเจ็บป่วยต่อเนื่อง 508 ราย
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีรถพยาบาลฉุกเฉิน รพ.เกาะลันตา เกิดอุบัติพลิกคว่ำบริเวณถนนสายหัวหิน-ห้วยน้ำขาว ม.10 ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองทอม จ.กระบี่ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย เสียชีวิต 2 ราย ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนับเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะเกิดจากสภาพถนนลื่นหลังฝนตก ซึ่งเป็นทางระหว่างรถพยาบาลฉุกเฉินวิ่งนำส่งนางสาเราะห์ วะเจดีย์ อายุ 17 ปี ท้องแก่ 9 เดือนและใกล้คลอด ไป รพ.ลันตา เพื่อคลอดลูก ถือว่าอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ สำหรับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ในส่วนของผู้รับบริการ สปสช.จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 กรณีที่ได้รับความเสียหายที่เกิดจากการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยของหน่วยบริการโดยมิต้องรอพิสูจน์ โดยกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพอย่างถาวร หรือเจ็บป่วยเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาตลอดชีวิต และมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำรงชีวิต จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ตั้งแต่ 240,000 บาท แต่ไม่เกิน 400,000 บาท กรณีสูญเสียอวัยวะ หรือพิการที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 240,000 บาท และกรณีบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ไม่เกิน 100,000 บาท
นพ.วินัย กล่าวว่า กรณีที่ทารกเสียชีวิตในครรภ์ระหว่างการดูแลของหน่วยบริการ ตามข้อบังคับกำหนดให้มีการชดเชยความเสียหายที่ต้องเป็นไปตามเกณฑ์การพิจารณา ซึ่งจะได้รับการชดเชยเท่ากับอัตรากรณีผู้รับบริการเสียชีวิต หรือทุพพลภาพอย่างถาวร โดยกรณีนี้หากมารดาได้รับความเสียหายอื่นด้วย ก็ให้ได้รับเงินช่วยเหลือได้อีกตามประเภทความเสียหายที่ได้รับ ทั้งนี้ กรณีที่เกิดขึ้นนี้ ทาง “คณะอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นระดับจังหวัด” จะเป็นผู้พิจารณา ส่วนการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในส่วน “ผู้ให้บริการ” ให้ดำเนินการตาม “ข้อบังคับคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข พ.ศ.2556” มีอัตราการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายอัตราเดียวกับผู้รับบริการ โดยมีคณะอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณา
นพ.วินัย กล่าวว่า ภายหลังจากการดำเนินการตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ตั้งแต่ปี 2551-2555 มีผู้รับบริการที่ยื่นคำร้องขอรับการชดเชยทั้งสิ้น 4,260 ราย หรือเฉลี่ย 852 ราย/ปี ในจำนวนนี้เข้าเกณฑ์การรับการชดเชยทั้งสิ้น 3,531 ราย หรือเฉลี่ย 706.2 ล้านบาท/ปี เป็นจำนวนเงินที่จ่ายชดเชย 401.85 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 82.17 ล้านบาท/ปี โดยภาพรวมการร้องทุกข์เพื่อขอรับการชดเชยความเสียหายในช่วง 5 ปี มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปี 2555 อยู่ที่ 951 ราย มีการจ่ายค่าชดเชย 64.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ 658 ราย จำนวนเงินค่าชดเชยอยู่ที่ 98,63 ล้านบาท ขณะที่การชดเชยส่วนผู้ให้บริการ ตามาตรา 18(4) พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยในปี 2554-2555 มีผู้ให้บริการยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 624 ราย เข้าหลักเกณฑ์รับการชดเชยคิดเป็น 511 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 81.89 โดยจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือทั้งหมด 4.50 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการจ่ายกรณีบาดเจ็บและเจ็บป่วยต่อเนื่อง 508 ราย