ในโลกยุคปัจจุบัน อินเทอร์เน็ต และสื่อออนไลน์ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมากทีเดียว ในระบบการศึกษาแต่ก่อนนั้น หากเด็กนักเรียนนักศึกษาต้องทำการบ้านหรือรายงานต่างๆ ก็จะค้นหาข้อมูลผ่านหนังสือสิ่งพิมพ์ที่อยู่ในห้องสมุด แต่สมัยนี้แทบจะทุกคนทำการค้นหาข้อมูลผ่านทางระบบออนไลน์ บางคนสามารถลอกงานกันได้ง่ายๆ ผ่านสื่อจำพวกนี้
เด็กที่อายุ 10 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่มักจะมีการใช้อีเมล์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ วอทช์แอป อินสตาแกรมอย่างแพร่หลาย หากใครไม่มีแอปฯไม่มีการติดต่อสื่อสารทางสังคมออนไลน์แบบนี้ก็ถือว่าตกเทรนด์ ไม่ทันสมัยและเชยมาก แต่สื่อสังคมออนไลน์นั้นเหมือนดาบสองคม คือมีทั้งให้คุณและให้โทษด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะแม้ว่าระบบการสื่อสารที่ทันสมัยของเทคโนโลยีจะทำให้เราก้าวทันเหตุการณ์แต่ในทางกลับกันการให้ลูกหมกมุ่นกับสังคมออนไลน์มากเกินไปอาจมีอันตรายต่อเด็กได้เช่นกัน ดังนี้
1.สร้างให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมใหัเกิดขึ้น มีเด็กๆ หลายคนที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัวเพราะสื่อออนไลน์ เช่น ลูกเห็นว่าเพื่อนๆลงรูปแต่งตัวโป๊ วับๆ แวมๆ ลงตามสื่อออนไลน์ต่างๆ แล้วมีคนให้ความสนใจกด like จำนวนมาก เด็กก็เลยอยากจะเป็นที่สนใจเช่นนั้น ก็เลยนำรูปถ่ายวับๆ แวมๆ ของตนเองลงตามสื่อออนไลน์ต่างๆ บ้าง ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและอาจมีผลกระทบต่อการเรียนและการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของลูกได้
2.อาจตกเป็นเหยื่อของพวกผู้ร้ายหรือผู้ที่ไม่ประสงค์ดี พวกคนร้ายมักแฝงตัวอยู่ในสังคมออนไลน์ เพราะมันสามารถทำความผิดได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง การรับบุคคลใดเป็นเพื่อนผ่านเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือโปรแกรมสนทนาออนไลน์โดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อาจเป็นช่องทางให้ถูกหลอกลวง ซึ่งแน่นอนว่าอาจเกิดความไม่ปลอดภัยและเกิดผลเสียต่อลูกได้ เช่น การหลอกนัดให้ออกมาเจอตัวกันจริงๆ แล้วพาไปล่วงละเมิดทางเพศ หรือชิงทรัพย์ หรือไม่เช่นนั้นอาจเป็นช่องทางให้คนที่คิดไม่ดีกับเด็ก ใส่ความในทางที่อาจเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เช่น การนำรูปเด็กไปตัดต่อ การนำข้อมูลส่วนตัวของเด็กไปใช้ในทางที่เสียหาย
3.ทำให้หมดเปลืองเวลาโดยไร้ประโยชน์ หากเทียบกับผู้ใหญ่ที่หมกมุ่นอยู่ในสื่อออนไลน์ การแชทผ่านทางวอทช์แอป ไลน์ การเข้าไปดูข่าวสารหรือการเข้าไปดูยูทิวบ์ ยังสามารถทำให้เสียเวลาเสียงานเสียการไปมาก ยิ่งไปกว่านั้นสักแค่ไหนสำหรับลูกซึ่งยังเป็นเด็กอยู่ในวัยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเอง อารมณ์และความต้องการได้ จะยิ่งตกเป็นทาสของสื่อออนไลน์มากยิ่งไปกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเข้ามาช่วยควบคุมลูกในเรื่องของเวลาในการเล่นสื่อออนไลน์อย่างจริงจัง เช่น กำหนดให้ใช้โทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ตได้หลังจากทำการบ้าน อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนเรียบร้อยแล้ว หรือกำหนดจำนวนชั่วโมงที่จะให้ใช้ได้ จะช่วยให้เด็กไม่ติดกับมันมากเกินไปและทำให้เขามีเวลาทำกิจกรรมอย่างอื่นมากขึ้น
4.ทำใหัละเลยกิจกรรมที่มีประโยชน์ การใช้เวลากับอินเทอร์เน็ต หรือสมาร์ทโฟนมากเกินไป ทำให้เด็กไม่ได้ทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ที่ควรจะทำตามวัย เช่น ออกกำลังกาย ทำงานบ้าน พูดคุยกับครอบครัว รวมถึงการทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม
5.ลักลอบทำสิ่งผิดกฎหมาย มีเว็บไซต์มากมายที่เป็นช่องทางแห่งอบายมุขและการทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย เช่น การค้าประเวณี การขายยาเสพติด การพนันออนไลน์ ซึ่งหากลูกเข้าไปดูไปชมเว็บไซต์เหล่านี้ก็อาจถูกชักชวนให้เข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีเหล่านี้ได้ ด้วยความที่เด็กๆ เป็นวัยที่อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากลอง ก็อาจทำให้ถูกหลอกล่อได้ง่าย
6.เป็นสื่อสกปรกที่ใช้ทำร้ายกันได้ไม่ยาก สังคมออนไลน์เป็นแหล่งของการหลอกลวงที่ใหญ่มาก เด็กๆ จะได้อ่านข้อความใส่ร้าย โจมตี หยาบคาย ลามก ตลอดจนการลงรูปภาพผ่านทางสื่อออนไลน์ที่อาจจะเป็นรูปภาพที่แต่งเติมตัดต่อเพื่อใช้ประจานหรือกลั่นแกล้งผู้หนึ่งผู้ใด ซึ่งจะทำให้ลูกซึมซับความก้าวร้าว รุนแรง ผ่านสื่อเหล่านี้ไปอย่างไม่รู้ตัว
จริงๆ แล้วสื่อออนไลน์เป็นสื่อที่มีประโยชน์มากหากเรานำมาใช้ในการค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ หรือนำมาใช้ให้เกิดความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร แต่หากใช้มันเพื่อทำการไม่ดี หรือใช้อย่างหมกมุ่นมั่วสุมเกินกว่าความจำเป็น ก็อาจเป็นโทษได้อย่างมากมายเช่นกัน
ดังนั้น ในฐานะของคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเอาใจใส่ และให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่เด็กๆ ในการใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์อย่างเหมาะสม และคุณพ่อคุณแม่ควรต้องศึกษาการใช้สื่อออนไลน์ไว้ด้วยเพื่อใช้ในการดูแลลูก เช่น หากลูกถูกล่อลวงและหายออกจากบ้านไป อาจต้องใช้ระบบติดตาม GPS ที่อยู่ในสมาร์ทโฟนในการช่วยติดตามหาสถานที่ที่ลูกอยู่ได้ หรือใช้ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนของลูกหรือผู้ปกครองของเพื่อนลูก หรือรู้จักการบล็อกเว็บที่เป็นอันตรายต่อเด็ก นี่แหละถึงจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ของลูกยุคออนไลน์อย่างแท้จริง