พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ยกพระโอวาท สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงนิพนธ์ไว้เมื่อเกิดเเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เตือนคนไทยยามเกิดวิกฤตทางความคิด แนะให้ทุกคนประนีประนอม รักใคร่ปรองดอง สามัคคีกัน เผย 1 เดือนมีพุทธศาสนิกชนเดินทางกราบสักการะพระศพกว่า 6 แสนคน
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร มีประชาชนเดินทางมากราบสักการะพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อย่างต่อเนื่อง พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธัมมสากิโย) ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า ได้รับสาสน์แสดงธรรมสังเวชจากสมาคมพุทธศาสนาแห่งชาติจีน รวมถึงพระสมณสาสน์จากองค์ทะไลลามะ แสดงความอาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราชผ่านมหาเถรสมาคม ด้วยความเคารพเทิดทูนที่ทรงมีคุณูปการในด้านพุทธศาสนา และตลอด 1 เดือน ของการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลพระศพฯ มีพุทธศาสนิกชนเดินทางมากราบสักการะพระศพกว่า 6 แสนคน สำหรับการจัดงานบำเพ็ญพระกุศลปัญญาสมาวาร (50 วัน) อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยรัฐบาลจะจัดทำหนังสือ “การบริหารจิตสำหรับเด็กเล็ก” จำนวน 5 พันเล่ม ส่วนวัดบวรฯจัดพิมพ์หนังสือจิตตนคร จำนวน 3 หมื่นเล่ม แจกให้แก่ประชาชนที่มาร่วมงาน
อนึ่งในโอกาสเดียวกันนี้ พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อยู่รอบวัด ว่า ได้น้อมนำพระโอวาทในสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงนิพนธ์ไว้เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2516 ในขณะที่มีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เพื่อเตือนสติคนไทย ในยามเกิดวิกฤตทางความคิด เกี่ยวกับการมีสัมมาสติ ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ขอให้เราระลึกถึงการมีมิตรภาพไมตรีจิตความเป็นญาติพี่น้อง ความประนีประนอมช่วยเหลือกัน 2.เมื่อเราเป็นญาติพี่น้องย่อมระลึกถึงประโยชน์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง รักษาความสงบของชาติ ใช้สติปัญญา ความเป็นพลเมืองเป็นที่ตั้ง และ 3.การทำสิ่งใดต้องทำด้วยเจตนาแห่งความเมตตา รู้จักให้อภัย ปรับความเข้าใจ ตั้งมั่นอยู่บนความรักสามัคคี คือ ต้องรักษาตนเองไว้ให้ดีด้วยกัน การที่จะมาทำลายกันเองลงไป เท่ากับเป็นการทำลายกำลังของชาตินั่นเอง
สัมมาสติ แปลว่า ความระลึกชอบ อันความระลึกนั้น มักพูดกันเช่นว่า ระลึกถึง คือนึกขึ้นมาได้ถึงบุคคล เหตุการณ์ หรือแม้วัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางทีความระลึกถึงเป็นไปในทางไม่สงบต่างๆ เพราะก่อให้เกิดภาวะเป็นต้นว่าความโกรธแค้นขึงเคียดจนถึงใช้กำลังประหัตประหารกันให้ย่อยยับลงไป บางทีความระลึกถึงเป็นไปในทางสงบต่างๆ เพราะก่อให้เกิดภาวะ เป็นต้นว่า ความมีมิตรภาพไมตรีจิต ความประนีประนอมผ่อนปรนกันและกัน ความช่วยเหลือกันและกันให้เกิดความสุขความเจริญ ความระลึกถึงอย่างแรกมิใช่เป็นสัมมาสมาสติ แต่เป็นมิจฉาสติ ส่วนความระลึกถึงอย่างหลังเป็นสัมมาสติ ความระลึกชอบ ในฐานที่เราทั้งหลาย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ต่างก็เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตวโลกชนิดที่มีปัญญาสูงมาโดยกำเนิด ทั้งยังได้รับการศึกษาส่งเสริมปัญญาให้เจริญเติบโตยิ่งขึ้นไปอีก ก็ควรที่จะมีความระลึกชอบ คือใช้ปัญญาระลึกโดยรอบคอบ ไม่ลุอำนาจหรือดึงดันไปด้วยอำนาจความโกรธหลง ซึ่งจะเป็นเหตุให้พบเหตุผลเป็นเครื่องแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นส่วนตัวทั้งที่เป็นส่วนรวมได้ดียิ่ง ความพบเหตุผลที่ถูกต้องดังนี้และเป็นตัวปัญญา ซึ่งเป็นผลที่มุ่งหมายสำหรับแก้เหตุการณ์ทั้งหลาย ตามที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า สัมมาสติและปัญญา ต่างก็ต้องอาศัยกันและกัน ในที่นี้ยกสัมมาสติขึ้นเป็นประธาน เพราะมุ่งหมายว่าเป็นข้อสำคัญในหน้าที่เตือนใจให้ใช้ปัญญาแทนที่จะใช้อารมณ์และกิเลสแก่กันและกัน ทุกๆคนต่างก็มีปัญญาอยู่ด้วยกันแล้ว แต่อาจยังเผลอปัญญาไปบ้างเพราะขาดสัมมาสติเท่านั้น จะควรระลึกอย่างไรจึงจะเป็นสัมมาสติ และจะระลึกอย่างนั้นได้หรือ
ขอแถลงข้อหลังก่อนว่า ทุกคนระลึกให้เป็นสัมมาสติได้ เพราะเป็นเรื่องขอจิตใจที่อาจน้อมจิตใจให้คิดไปได้ จึงขอแต่เพียงว่า ขอให้น้อมจิตใจคิดไปในทางสงบเท่านั้น โดยพยายามระงับดับจิตใจเร่าร้อนไม่สงบลงเสีย ดังจะลองแนะแนวคิดดู ที่จะนำไปสู่สัมมาสติ
แนวคิดที่จะนำไปสู่สัมมาสติ ดังเช่นคิดดูว่า เราทั้งหลายเป็นอะไรกัน ถ้าคิดด้วยความโกรธ ก็จะได้คำตอบว่าเป็นศัตรูกันโกรธเกลียดกันจนจะต้องเอาชนะกันให้ได้แม้ด้วยการใช้กำลังประหัตประหารกัน แต่ถ้าคิดด้วยจิตใจที่สงบก็จะได้คำตอบว่า เราเป็นพี่น้องกัน ร่วมชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เดียวกัน หรือแม้ร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน บรรพบุรุษสตรีของเราได้เสียสละทุกอย่างรักษาสถาบันต่างๆ ของชาติไทยไว้ให้แก่เรา เราทั้งหลายจึงเหมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ก็เหมือนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นตาเป็นยาย เป็นปู่ เป็นย่า เป็นน้า เป็นอา ผู้ที่เป็นเด็กกว่าก็เหมือนอย่างเป็นลูกเป็นหลาน ที่เป็นชั้นเดียวกันก็เป็นเหมือนอย่างเป็นพี่เป็นน้องกันทั้งนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน ความระลึกได้อย่างนี้จะทำให้จิตใจอ่อนโยนลง จะทำให้เกิดความคิดที่จะปรองดองกัน สมัครสมานกันขึ้น