สปสช.โต้กลับ อภ.เหตุใส่ความดื้อแพ่งจะซื้อยาโรคหัวใจจากเอกชนอีก 3 ล้านเม็ด ราคาแพงกว่ายาซีแอล 20 ล้านบาท ระบุแค่เสนอให้ อภ.ซื้อ เพราะยาซีแอลยังไม่ผ่านการตรวจคุณภาพ ป้องกันปัญหาขาดแคลนยา ชี้แม้ อภ.แจ้งว่าผ่านการตรวจคุณภาพของแล็บแล้ว แต่ผลตรวจยังมาไม่ถึงมือ
วันนี้ (18 ต.ค.) นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ให้ข่าวว่า สปสช.ยืนยันจะซื้อยาหัวใจโคลพิโดเกรลอีก 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นยาราคาแพงกว่ายาซีแอล จากอินเดียประมาณ 20 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือ ยาหัวใจโคลพิโดเกรลที่เป็นยาซีแอลซึ่ง อภ.สั่งซื้อจากอินเดียจำนวน 18 ล้านเม็ดนั้น ถูกระงับการแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เพราะมีปัญหาด้านการตรวจสอบคุณภาพ ทำให้ตั้งแต่ ก.ค.2556 เกิดการขาดแคลนยา ซึ่ง สปสช. และ อภ.ได้ตกลงแก้ปัญหาโดยสั่งซื้อยาจากบริษัทเอกชนที่มีราคาแพงกว่าให้พอใช้ได้ 3 เดือนเพื่อรอยาซีแอล
นพ.ประทีป กล่าวอีกว่า หลังจากซื้องวดแรก 3 ล้านเม็ดแล้ว เมื่อใช้ได้ถึงกลาง ก.ย. สปสช.จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 5 ก.ย.2556 แจ้งว่า ระหว่างที่ยาซีแอลยังไม่มาขอให้ อภ.ซึ้อยาจากเอกชนเพิ่มอีก 3 ล้านเม็ดเพื่อให้บริการผู้ป่วยถึง ต.ค. 2556 แต่ อภ.ยังไม่ได้ดำเนินการจัดซื้อ และต่อมาเมื่อวันที่ 11 ต.ค.2556 สปสช.เพิ่งได้รับหนังสือจาก อภ.ว่ายาซีแอลจำนวน 18 ล้านเม็ดได้ผ่านการตรวจคุณภาพจากห้องแล็บแล้ว สามารถส่งมอบให้โรงพยาบาลต่างๆ ได้ภายใน 30 ต.ค. 2556 จึงขอให้ สปสช.พิจารณาเปลี่ยนการสั่งซื้อยา 3 ล้านเม็ดมาเป็นยาซีแอลได้หรือไม่ ซึ่ง สปสช.ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เพราะต้องรอผลการตรวจคุณภาพยาให้โรงพยาบาลต่างๆ เกิดความเชื่อถือก่อน ข่าวที่ว่า สปสช.ยืนยันจะซื้อยาแพงจึงไม่เป็นความจริง
“ข่าวดังกล่าวสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้ป่วย โรงพยาบาล และสังคมว่า สปสช.ต้องการซื้อยาราคาแพง ทำให้เสียเงินเพิ่มอีกประมาณ 20 ล้านบาท ทำให้เกิดความเสียหายต่อการบริหารกองทุนของ สปสช.และความร่วมมือจัดหายาที่มีคุณภาพดี ราคาเหมาะสม ระหว่าง สปสช.กับ อภ.ที่ช่วยกันตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ในการทำให้ราคายาต่ำลง จนผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการได้ดีขึ้น” รองเลขาธิการ สปสช.กล่าว
วันนี้ (18 ต.ค.) นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ให้ข่าวว่า สปสช.ยืนยันจะซื้อยาหัวใจโคลพิโดเกรลอีก 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นยาราคาแพงกว่ายาซีแอล จากอินเดียประมาณ 20 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือ ยาหัวใจโคลพิโดเกรลที่เป็นยาซีแอลซึ่ง อภ.สั่งซื้อจากอินเดียจำนวน 18 ล้านเม็ดนั้น ถูกระงับการแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เพราะมีปัญหาด้านการตรวจสอบคุณภาพ ทำให้ตั้งแต่ ก.ค.2556 เกิดการขาดแคลนยา ซึ่ง สปสช. และ อภ.ได้ตกลงแก้ปัญหาโดยสั่งซื้อยาจากบริษัทเอกชนที่มีราคาแพงกว่าให้พอใช้ได้ 3 เดือนเพื่อรอยาซีแอล
นพ.ประทีป กล่าวอีกว่า หลังจากซื้องวดแรก 3 ล้านเม็ดแล้ว เมื่อใช้ได้ถึงกลาง ก.ย. สปสช.จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 5 ก.ย.2556 แจ้งว่า ระหว่างที่ยาซีแอลยังไม่มาขอให้ อภ.ซึ้อยาจากเอกชนเพิ่มอีก 3 ล้านเม็ดเพื่อให้บริการผู้ป่วยถึง ต.ค. 2556 แต่ อภ.ยังไม่ได้ดำเนินการจัดซื้อ และต่อมาเมื่อวันที่ 11 ต.ค.2556 สปสช.เพิ่งได้รับหนังสือจาก อภ.ว่ายาซีแอลจำนวน 18 ล้านเม็ดได้ผ่านการตรวจคุณภาพจากห้องแล็บแล้ว สามารถส่งมอบให้โรงพยาบาลต่างๆ ได้ภายใน 30 ต.ค. 2556 จึงขอให้ สปสช.พิจารณาเปลี่ยนการสั่งซื้อยา 3 ล้านเม็ดมาเป็นยาซีแอลได้หรือไม่ ซึ่ง สปสช.ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เพราะต้องรอผลการตรวจคุณภาพยาให้โรงพยาบาลต่างๆ เกิดความเชื่อถือก่อน ข่าวที่ว่า สปสช.ยืนยันจะซื้อยาแพงจึงไม่เป็นความจริง
“ข่าวดังกล่าวสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้ป่วย โรงพยาบาล และสังคมว่า สปสช.ต้องการซื้อยาราคาแพง ทำให้เสียเงินเพิ่มอีกประมาณ 20 ล้านบาท ทำให้เกิดความเสียหายต่อการบริหารกองทุนของ สปสช.และความร่วมมือจัดหายาที่มีคุณภาพดี ราคาเหมาะสม ระหว่าง สปสช.กับ อภ.ที่ช่วยกันตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ในการทำให้ราคายาต่ำลง จนผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการได้ดีขึ้น” รองเลขาธิการ สปสช.กล่าว
