พาดหัวคำถามที่เคยถามนักวิชาการที่ทำงานทางด้านเด็กและเยาวชนผ่านนิตยสาร Mother&Care หลายท่านมีคำตอบดังนี้
ดร.สายสุรี จุติกุล รองประธานคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ
“พ่อแม่ต้องคิดก่อนว่าคนดีคืออะไร เช่น คนดีต้องไม่โกหก ต้องตรงต่อเวลา พูดจาเพราะ ซื่อสัตย์ ฯลฯ เมื่อพ่อแม่รู้ว่าอะไรคือดี ก็ทำให้ลูกดู ให้ลูกเห็นทุกวัน โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ พูดไปเขาก็ยังไม่เข้าใจต้องทำให้เขาเห็นเป็นประจำ ลูกก็จะเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมดีๆ”
...............
ศ.(เกียรติคุณ) พญ.ชนิกา ตู้จินดา ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
“คำโบราณว่า ‘ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ นั่นคือ ‘จิต’ บงการทุกอย่างให้เกิดการกระทำผ่านทางสมองการทำกรรมดี กรรมชั่ว ล้วนมาจาก กาย วาจา ใจ แต่ใจสำคัญสุดด้วยจิตสำนึกในการทำดี โดยพ่อแม่ปฏิบัติให้ลูกเห็น เมื่อเขาได้เห็นได้ยิน ได้สัมผัส ว่าพ่อแม่ปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อเป็น role model ให้เขาทำสิ่งดี พูดดี คิดดี ปฏิบัติชอบเมื่อเขาทำตามจะได้รับความชื่นชมถ้าเขาทำในสิ่งตรงกันข้ามกับการทำดี พ่อแม่ไม่ละเลยที่จะห้ามปรามแนะนำให้ปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมไม่ดี หากยังดื้อดึงก็อาจลงโทษ โดยให้ลูกเข้าใจสิ่งที่ไม่เหมาะสมนั้น จะก่อเกิดเป็นนิสัยที่ดีโดยมีพื้นฐานจากจิตสำนึกในการเป็นเด็กดีนั่นเอง”
…………
พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน)
“ลูกเรียนรู้สิ่งรอบตัวและพฤติกรรมของคนที่อยู่ภายในครอบครัว ดังนั้นการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีให้ลูก ต้องเริ่มต้นที่พ่อแม่ก่อน ช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับลูก ต้องมีความระมัดระวังในคำพูดและการกระทำที่มีต่อกัน คือวาจาที่แสดงอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ เกรี้ยวกราด รวมทั้งพฤติกรรมที่กระทำอย่างสม่ำเสมอแต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรแสดงออก สิ่งเหล่านี้เป็นการตอกย้ำให้ลูกได้เรียนรู้เป็นประจำ แม้จะมีการสั่งสอน ให้ลูกเป็นคนดี แต่แค่เพียงคำพูดไม่สามารถสร้างจิตสำนึกที่ดีได้ เพราะมีการสอนด้วยกระทำอยู่เป็นประจำ ดังนั้นความดีในพ่อแม่เท่านั้นที่จะปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีให้กับลูกได้”
..................
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
1. พ่อแม่ทำดีให้ลูกดูอย่างต่อเนื่องไม่ใช่พูดดีให้ลูกฟังเท่านั้น
2. ให้ลูกมีโอกาสเจอกับอุปสรรคความลำบากขั้นพื้นฐาน โดยมีพ่อแม่เป็นพี่เลี้ยง เหลาความคิดให้เด็กๆ ไปด้วย เด็กจะเกิดการเรียนรู้ฟันฝ่าอุปสรรค
3. การมีกิจกรรมจิตอาสา ทั้งเกิดขึ้นภายในบ้าน นอกบ้าน และชุมชนตามศักยภาพตนเอง ตามความรู้เวลา จะทำให้เกิดการปลูกจิตสำนึกที่ดีให้กับลูกได้
…………..
พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ นักวิชาการอิสระ
“ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนคือ เมื่อยังเล็กช่วยตัวเองไม่ได้ก็ต้องพึ่งพาผู้เลี้ยงดู อีกทั้งยังไม่รู้จักสิ่งใดๆ ในโลก ต้องอาศัยผู้เลี้ยงดูถ่ายทอดฝึกสอน จนกว่าจะรู้จำ รู้จัก และเข้าใจ….จิตสำนึกก็เช่นกัน มนุษย์สามารถอดทน อดกลั้น และรู้คิด รู้เหตุ รู้ผล รู้จักตัดสินใจว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรทำและไม่ควรทำ ซึ่งจะต้องเรียนรู้จากต้นแบบที่อยู่รอบตัว เริ่มจากพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูญาติพี่น้อง ครู และสังคม การปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีงามให้กับเด็กต้องเริ่มที่ผู้ดูแลเด็กต้องปรับจิตสำนึกของตนให้ดีงามเสียก่อนเพื่อเป็นต้นแบบที่ดีให้เด็ก ที่สำคัญฝึกสอนเลี้ยงดูด้วยความรัก ความเข้าใจ และทำให้ดูเพื่อให้เด็กทำตาม”
................
นักวิชาการและคุณหมอทุกท่านพูดตรงกันว่าการจะปลูกฝังจิตใต้สำนึกให้ลูกเป็นเด็กดี ต้องเริ่มจากแบบอย่างที่ดี นั่นก็คือ พ่อแม่
ถ้าสรุปตามนี้ก็เท่ากับว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กรักดี มีพฤติกรรมที่ดี จะเกิดขึ้นจากจิตที่ได้รับแต่ความทรงจำที่ดี สั่งสมแต่ความรู้สึกที่ดี ส่วนพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลายก็ล้วนเกิดขึ้นจากจิตที่สั่งสม หรือได้รับแต่ความทรงจำที่ไม่ดีนั่นเอง
ในขณะที่ผู้ที่เป็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็ก กลับมักพูดบ่นตรงกันข้ามว่า “เด็กสมัยนี้เลี้ยงยาก และมักจะบ่นถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีของผู้เป็นเด็กอยู่เสมอ”
แล้วพฤติกรรมที่ไม่ดี หรือไม่เหมาะสมล่ะ เด็กๆ เอามาจากไหน !!
คำถามประเภททำไมสภาพสังคมปัจจุบันถึงมีปัญหามากมาย หรือแม้แต่ทำไมจิตใจคนในสังคมไทยยุคนี้ถึงเสื่อมถอยลงทุกที ก็มากขึ้นทุกขณะ
ลองมาดูกันว่าจิตของมนุษย์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1.จิตเหนือสำนึก คือ จิตที่สามารถรู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือที่เรามักเรียกว่าซิกซ์เซ้นส์ (Six Sense) ถือเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากและจิตประเภทนี้ก็ไม่ได้มีกันทุกคน
2.จิตสำนึก คือ จิตที่รับรู้จากประสบการณ์จริงขณะตื่น ผ่านระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 จิตสำนึกจะรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักใช้เหตุผล รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ อะไรดีไม่ดี
3.จิตใต้สำนึก คือ สิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตมานาน จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจเหนือจิตสำนึกหลายเท่า เป็นแหล่งเก็บข้อมูลความทรงจำ ประสบการณ์ทุกด้านที่ได้เห็น ได้ยิน ได้พูด ได้ทำบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึกทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี ทุกชาติจนกว่าจะเสียชีวิต และจิตใต้สำนึกนี้เองทำให้คนเราทุกคนมีพื้นฐานอุปนิสัย จริต พฤติกรรมที่ดีหรือไม่ดีแตกต่างจากคนอื่นตามประสบการณ์ที่สั่งสมมาด้วย
เพราะฉะนั้น ถ้าเด็กมีจิตใต้สำนึกที่ดี มีความทรงจำและประสบการณ์ที่ดี ก็จะหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตสำนึกที่ดี
คาถา 4 ข้อ ปลูกฝังจิตใต้สำนึกลูกให้เป็นเด็กดี
หนึ่งแบบอย่าง
พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี จิตใต้สำนึกของลูกจะเปิดกว้างขณะอยู่กับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่คิดดี ทำดี ลูกก็จะคิดดี ทำดีตาม การปลูกฝังจิตใต้สำนึกที่ได้ผลอย่ามุ่งแต่พูดจาสั่งสอน โดยไม่ได้ทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง ลูกจะฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา สิ่งที่พ่อแม่พูดจะไม่เข้าลงไปถึงจิตใต้สำนึก แต่จะต้องเกิดขึ้นจากการกระทำและคำพูดของพ่อแม่ให้ลูกได้เห็นและได้ยินอย่างสม่ำเสมอถึงจะได้ผล
สองความรัก
ความรักเป็นพลังที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก ไม่ใช่สมอง ถ้าพ่อแม่รักลูกและมอบความรักให้ลูก ผลตอบแทนของความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก จะทำให้ลูกรักและเชื่อฟังพ่อแม่เมื่อโตขึ้น รู้จักมอบความรักต่อผู้อื่นเป็น อย่าใช้อารมณ์หรือพฤติกรรมที่รุนแรงกับลูก เพราะการทำเช่นนั้นเพียงครั้งเดียว ก็จะกลายเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีให้ลูกมีความทรงจำในเชิงลบไปตลอดชีวิต ยากที่ลูกจะลืม แม้ว่าก่อนหน้าหรือหลังจากนั้นจะทำดีกับลูกมากแค่ไหนก็ตาม
สามคำพูด
พูดกับลูกเชิงบวกทุกวัน เพื่อให้คำพูดเหล่านั้นประทับเข้าไปถึงจิตใต้สำนึกของลูก ระวังคำพูดในเชิงลบ เช่น “อย่าทำแบบนี้อีกนะ” แต่ให้พูดในเชิงบวกว่า “แม่เป็นห่วงลูกกลัวลูกจะเป็นอันตราย” หรืออย่าพูดในลักษณะต่อว่าดุด่า เช่น “อย่าดื้อได้ไหม” แต่ลองเปลี่ยนเป็น “เป็นเด็กดีนะลูก” มีหลายประโยคมากมายที่พ่อแม่สามารถนำมาใช้เป็นคำพูดบวกแทนคำพูดลบ เพราะวิธีการพูดที่แตกต่างกัน มันให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมากมาย
สี่การกระทำ
สอดคล้องกับการพูดก็คือเรื่องการกระทำ เพราะพูดอย่างเดียวไม่เกิดผลดีเท่าเมื่อพูดแล้วก็ลงมือกระทำดีให้ลูกเห็นด้วย รวมถึงหมั่นพาลูกไปทำกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ดี ที่เกิดประโยชน์และสอดแทรกเรื่องคุณธรรม จริยธรรมด้วย เพื่อฝึกให้เด็ก รู้จักควบคุมพฤติกรรมและอารมณ์ตนเอง ไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน โตขึ้นก็จะมีความสุข และสามารถส่งต่อความสุขไปสู่สังคมได้ด้วย
เรื่องปลูกฝังให้ลูกมีจิตใต้สำนึกที่ดี เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ก่อน โดยเฉพาะในระดับครอบครัว แต่ก็เป็นกังวลใจยิ่งนัก เพราะแบบอย่างที่ดีในสังคมปัจจุบันก็ช่างหายากซะจริง !!!