ทำเอาวงการศัลยกรรมความงามแทบช็อกกันไปตามๆ กัน กับกรณีแพทยสภาเตรียมประกาศยกเลิกการใช้ซิลิโคนเหลว โดยให้เหตุผลว่าใช้แล้ว มีผลกระทบสูงมาก ทั้งผื่นบวมแดงจนหมดสวยหมดหล่อ ผิวอักเสบ ไปจนถึงขั้นทำลายเนื้อเยื่อและเซลล์ระดับรุนแรง
ที่น่ากลัวคือเมื่อซิลิโคนไหลมากองรวมกันหลังจากฉีดไปแล้ว ก็จะเกิดปรากฏการณ์แม่มดขึ้น คือหน้าโย้ บิดเบี้ยวผิดรูป ซึ่งหลายครั้งสังคมและประชาชนก็มักตั้งคำถามกับคนดังว่าไปฉีดมาหรือไม่ แต่สุดท้ายก็มักบอกว่าเปล่าเสมอ ทั้งที่รูปหน้ามันเพี้ยนไปจากเดิมอยู่มากโข!!
ยิ่งมาดูสถิติผลวิจัยการติดตามผู้ฉีดซิลิโคนเหลว ซึ่ง นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศ เปิดเผยว่า จากการร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช ติดตามผู้ฉีดซิลิโคนเหลว จำนวน 45 ราย ตั้งแต่ปี 2539-2544 แบ่งเป็นหญิง 43 ราย ชาย 2 ราย อายุระหว่าง 19-60 ปี พบว่า ช่วง 1-6 เดือนแรกหลังการฉีดจะดูสวย ต่อมา 1 ปีแรก จะดูสวยขึ้น แต่หลังจากนั้นช่วง 3-5 ปี จะเริ่มมีปฏิกิริยาขึ้น เช่น คลำพบก้อนเนื้อ เป็นผื่นแดง เหมือนมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก และทำให้ผิวขรุขระเหมือนผิวมะระ บางรายอวัยวะเริ่มผิดรูป เพราะเนื้อเยื่อและเซลล์ถูกทำลายจึงเกิดอาการบวมและอักเสบ นอกจากนี้ สารซิลิโคนเหลวจะค่อยๆ ไหลมากองรวมกัน ทำให้มีการห้อยย้อย แข็งตึง และมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของผิวหนังบริเวณที่ฉีด
“การฉีดซิลิโคนเหลวเป็นที่นิยมมากเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจากกลุ่มหมอเถื่อนนำมาใช้และเริ่มเผยแพร่มากขึ้น เพราะระยะแรกที่ฉีดจะดูสวยงามมาก และราคาไม่แพง”
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว สาวๆ และผู้ที่เคยไปใช้บริการฉีดซิลิโคนเหลว สารเติมเต็มต่างๆ หรือที่เรียกกันว่า “ฟิลเลอร์” ไม่ว่าจะเสริมจมูก ฉีดคาง หน้าผาก แก้ม หรืออวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หลายคนอาจเริ่มเครียดและกังวล เพราะไม่รู้ว่าจะสารเติมเต็มเหล่านั้น จะกลายเป็นระเบิดเวลาที่รอวันประทุหรือไม่!!!
นพ.ชลธิศ ระบุว่า สำหรับผู้ที่ฉีดไปแล้ว แต่ยังไม่มีอาการใดๆ ปรากฏขึ้น ก็ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะบางรายฉีดไปแล้วไม่มีอาการผิดปกติก็มี แต่สำหรับผู้ที่มีอาการต่างๆ เกิดขึ้นแล้วค่อยไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้ตรวจดูอาการให้แน่ชัดต่อไป ซึ่งล่าสุดได้มีการคิดค้นวิธีการรักษาเพื่อแก้ไขใบหน้าที่ผิดรูป โดยการนำไขมันจากบริเวณหน้าท้องของผู้ป่วยเองมาปลูกถ่ายเพื่อเสริมสร้างเซลล์ให้เกิดขึ้นใหม่ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายไป จนประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก และเป็นอีกหนึ่งผลงานจากการคิดค้นวิจัยที่ยังไม่มีแพทย์ประเทศใดสามารถทำได้ในปัจจุบัน
“การฉีดซิลิโคนเหลวที่พบมากคือบริเวณ จมูก คาง แก้ม และหน้าผาก ตามลำดับ แต่การแก้ไขสามารถทำได้เฉพาะบริเวณที่อยู่จุดกลางของใบหน้า ได้แก่ จมูก และคางเท่านั้น เพราะไม่มีเส้นประสาท แต่ด้านข้างอย่างบริเวณขมับ และ แก้ม แก้ได้ลำบากเพราะอาจทำให้ปากเบี้ยวได้ ซึ่งขั้นตอนการแก้ไข เริ่มจากขูดเอาเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายออก ซึ่งจะทำให้ด้านในเกิดโพรง การนำไขมันบริเวณหน้าท้องมาปลูกถ่ายเพื่อเติมเต็มเนื้อเยื่อที่ขูดออกไปจึงเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด หรือกล่าวได้ว่าเป็นฟิลเลอร์ ที่ดีที่สุด
นพ.ชลธิศ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์วิจัยพบแล้วว่า ในไขมันของคนเรามีสเต็มเซลล์แทรกอยู่ เรียกว่า “Mesenchymal Stem cell” การสกัดเอาไขมันที่มีสเต็มเซลล์มากๆ มาปลูกถ่ายจะทำให้มีเปอร์เซ็นต์ในติดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เราจึงเรียกไขมันที่มีสเต็มเซลล์นี้ว่าเป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็น Biological ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เพราะเมื่อนำไปปลูกถ่ายในโพรงที่ขูดเอาเนื้อเยื่อที่เสียไปทิ้ง สเต็มเซลล์จะเข้าไปเสริมสร้างให้เกิดเนื่อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ทำให้เสามารถรักษารูปทรงของจมูก และคางไว้ได้ ซึ่งบางคนใส่แค่ครั้งเดียวก็ได้ผล แต่บางคนในส่วนของจมูกหลังทำไปแล้ว 3 เดือนอาจจะต้องแต่งทรงด้วยซิลิโคนบางๆ อีกครั้ง
“สเต็มเซลล์จากไขมันตัวเอง ผมเรียกว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ดีที่สุด เพราะไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม และไม่เป็นอันตรายใดๆ นอกจากนี้ ยังทำให้ดูสวยเป็นธรรมชาติอีกด้วย และสำหรับผู้ที่ยังนิยมฉีดสารต่างๆ เพื่อเติมเต็มอวัยวะส่วนต่างๆ ให้ดูเต่งตึงสวยงามอยู่ให้พึงระหว่างจะสวยก่อนเสีย เพราะสารบางชนิดแม้ยังไม่เกิดผลเสียหาย แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าจะไม่เกิดผลใดๆ ตามมาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างแน่นอน”
ที่น่ากลัวคือเมื่อซิลิโคนไหลมากองรวมกันหลังจากฉีดไปแล้ว ก็จะเกิดปรากฏการณ์แม่มดขึ้น คือหน้าโย้ บิดเบี้ยวผิดรูป ซึ่งหลายครั้งสังคมและประชาชนก็มักตั้งคำถามกับคนดังว่าไปฉีดมาหรือไม่ แต่สุดท้ายก็มักบอกว่าเปล่าเสมอ ทั้งที่รูปหน้ามันเพี้ยนไปจากเดิมอยู่มากโข!!
ยิ่งมาดูสถิติผลวิจัยการติดตามผู้ฉีดซิลิโคนเหลว ซึ่ง นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศ เปิดเผยว่า จากการร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช ติดตามผู้ฉีดซิลิโคนเหลว จำนวน 45 ราย ตั้งแต่ปี 2539-2544 แบ่งเป็นหญิง 43 ราย ชาย 2 ราย อายุระหว่าง 19-60 ปี พบว่า ช่วง 1-6 เดือนแรกหลังการฉีดจะดูสวย ต่อมา 1 ปีแรก จะดูสวยขึ้น แต่หลังจากนั้นช่วง 3-5 ปี จะเริ่มมีปฏิกิริยาขึ้น เช่น คลำพบก้อนเนื้อ เป็นผื่นแดง เหมือนมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก และทำให้ผิวขรุขระเหมือนผิวมะระ บางรายอวัยวะเริ่มผิดรูป เพราะเนื้อเยื่อและเซลล์ถูกทำลายจึงเกิดอาการบวมและอักเสบ นอกจากนี้ สารซิลิโคนเหลวจะค่อยๆ ไหลมากองรวมกัน ทำให้มีการห้อยย้อย แข็งตึง และมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของผิวหนังบริเวณที่ฉีด
“การฉีดซิลิโคนเหลวเป็นที่นิยมมากเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจากกลุ่มหมอเถื่อนนำมาใช้และเริ่มเผยแพร่มากขึ้น เพราะระยะแรกที่ฉีดจะดูสวยงามมาก และราคาไม่แพง”
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว สาวๆ และผู้ที่เคยไปใช้บริการฉีดซิลิโคนเหลว สารเติมเต็มต่างๆ หรือที่เรียกกันว่า “ฟิลเลอร์” ไม่ว่าจะเสริมจมูก ฉีดคาง หน้าผาก แก้ม หรืออวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หลายคนอาจเริ่มเครียดและกังวล เพราะไม่รู้ว่าจะสารเติมเต็มเหล่านั้น จะกลายเป็นระเบิดเวลาที่รอวันประทุหรือไม่!!!
นพ.ชลธิศ ระบุว่า สำหรับผู้ที่ฉีดไปแล้ว แต่ยังไม่มีอาการใดๆ ปรากฏขึ้น ก็ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะบางรายฉีดไปแล้วไม่มีอาการผิดปกติก็มี แต่สำหรับผู้ที่มีอาการต่างๆ เกิดขึ้นแล้วค่อยไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้ตรวจดูอาการให้แน่ชัดต่อไป ซึ่งล่าสุดได้มีการคิดค้นวิธีการรักษาเพื่อแก้ไขใบหน้าที่ผิดรูป โดยการนำไขมันจากบริเวณหน้าท้องของผู้ป่วยเองมาปลูกถ่ายเพื่อเสริมสร้างเซลล์ให้เกิดขึ้นใหม่ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายไป จนประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก และเป็นอีกหนึ่งผลงานจากการคิดค้นวิจัยที่ยังไม่มีแพทย์ประเทศใดสามารถทำได้ในปัจจุบัน
“การฉีดซิลิโคนเหลวที่พบมากคือบริเวณ จมูก คาง แก้ม และหน้าผาก ตามลำดับ แต่การแก้ไขสามารถทำได้เฉพาะบริเวณที่อยู่จุดกลางของใบหน้า ได้แก่ จมูก และคางเท่านั้น เพราะไม่มีเส้นประสาท แต่ด้านข้างอย่างบริเวณขมับ และ แก้ม แก้ได้ลำบากเพราะอาจทำให้ปากเบี้ยวได้ ซึ่งขั้นตอนการแก้ไข เริ่มจากขูดเอาเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายออก ซึ่งจะทำให้ด้านในเกิดโพรง การนำไขมันบริเวณหน้าท้องมาปลูกถ่ายเพื่อเติมเต็มเนื้อเยื่อที่ขูดออกไปจึงเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด หรือกล่าวได้ว่าเป็นฟิลเลอร์ ที่ดีที่สุด
นพ.ชลธิศ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์วิจัยพบแล้วว่า ในไขมันของคนเรามีสเต็มเซลล์แทรกอยู่ เรียกว่า “Mesenchymal Stem cell” การสกัดเอาไขมันที่มีสเต็มเซลล์มากๆ มาปลูกถ่ายจะทำให้มีเปอร์เซ็นต์ในติดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เราจึงเรียกไขมันที่มีสเต็มเซลล์นี้ว่าเป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็น Biological ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เพราะเมื่อนำไปปลูกถ่ายในโพรงที่ขูดเอาเนื้อเยื่อที่เสียไปทิ้ง สเต็มเซลล์จะเข้าไปเสริมสร้างให้เกิดเนื่อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ทำให้เสามารถรักษารูปทรงของจมูก และคางไว้ได้ ซึ่งบางคนใส่แค่ครั้งเดียวก็ได้ผล แต่บางคนในส่วนของจมูกหลังทำไปแล้ว 3 เดือนอาจจะต้องแต่งทรงด้วยซิลิโคนบางๆ อีกครั้ง
“สเต็มเซลล์จากไขมันตัวเอง ผมเรียกว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ดีที่สุด เพราะไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม และไม่เป็นอันตรายใดๆ นอกจากนี้ ยังทำให้ดูสวยเป็นธรรมชาติอีกด้วย และสำหรับผู้ที่ยังนิยมฉีดสารต่างๆ เพื่อเติมเต็มอวัยวะส่วนต่างๆ ให้ดูเต่งตึงสวยงามอยู่ให้พึงระหว่างจะสวยก่อนเสีย เพราะสารบางชนิดแม้ยังไม่เกิดผลเสียหาย แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าจะไม่เกิดผลใดๆ ตามมาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างแน่นอน”