ศธ.ปล่อยคาราวานช่วยเหลือน้ำท่วมที่อยุธยา “จาตุรนต์” ฝาก อาชีวะ-กศน. ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งซ่อมแซมไฟฟ้า อุปกรณ์ต่างๆ พร้อมเปิดศูนย์รับบริจาคเงิน สิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
วันนี้ (10 ต.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดศูนย์ “เสมาร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กระทรวงศึกษาธิการ” พร้อมปล่อยขบวนรถตรวจเยี่ยมและมอบถุงยังชีพในพื้นที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องสร้างความสูญเสียให้กับชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน เบื้องต้นสำหรับครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ศธ.จึงได้จัดตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งจะเป็นการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น รวมถึงการเยียวยาและฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้ที่ได้รับอุทกภัยในครั้งนี้ ทั้งนี้ศูนย์ดังกล่าวได้จัดรถตรวจเยี่ยมและนำถุงยังชีพ จำนวน 1,000 ชุด ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และออกตรวจเยี่ยมและนำถุงยังชีพไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อื่นด้วย ทั้งนี้สถานประกอบการ หรือประชาชนที่สนใจ ต้องการบริจาคสิ่งของช่วยเหลือ สอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานปลัด ศธ.โทร.0-2628-6397 หรือสายด่วนกระทรวงศึกษาธิการ 1579
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับสถานศึกษาสังกัด ศธ.ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกน้ำท่วม มีประมาณ 570 โรง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 60 ล้านบาท โดยได้จัดเตรียมงบประมาณเพื่อจัดสรรช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำลดแล้ว จำนวน 100 ล้านบาท ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการดูแลต่อไป คือ การขาดเรียนของเด็กที่โรงเรียนถูกน้ำท่วมก่อนปิดภาคเรียน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เด็กเสียโอกาสโรงเรียนจะต้องจัดการสอนชดเชยให้ หรือเมื่อเปิดภาคเรียนแล้วแต่น้ำยังไม่ลด ก็ต้องจัดหาสถานที่ที่จะจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ศธ.มีหน่วยงานในสังกัดที่มีศักยภาพจำนวนมาก แต่ตนก็อยากให้หน่วยงานเหล่านี้ ได้ออกไปช่วยเหลือประชาชนทั่วไปไม่ใช่แค่เฉพาะโรงเรียนเท่านั้น เช่น วิทยาลัยอาชีวศึกษาต่างๆ สามารถซ่อมบ้าน ซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้กับประชาชนได้ เป็นต้น รวมถึงอยากให้ลูกเสือมีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนในส่วนนี้ด้วย เพื่อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม สำหรับการรับบริจาคเงินจากภาคเอกชนนั้น ตนอยากให้มีการส่งเสริมให้บุคลากรออกไปทำประโยชน์ให้กับประชาชนด้วย ไม่ใช่รับเงินมาแล้วแต่ไปซื้อถุงยังชีพแจกเพียงอย่างเดียว โดยอยากให้นำเงินที่ได้รับบริจาคนำมาเป็นเบี้ยเลี้ยงให้กับกลุ่มบุคคลที่ออกไปช่วยเหลือประชาชน
หรือไปจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ให้กับอาชีวะ และ กศน.เพื่อที่จะนำไปทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่อไป
วันนี้ (10 ต.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดศูนย์ “เสมาร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กระทรวงศึกษาธิการ” พร้อมปล่อยขบวนรถตรวจเยี่ยมและมอบถุงยังชีพในพื้นที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องสร้างความสูญเสียให้กับชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน เบื้องต้นสำหรับครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ศธ.จึงได้จัดตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งจะเป็นการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น รวมถึงการเยียวยาและฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้ที่ได้รับอุทกภัยในครั้งนี้ ทั้งนี้ศูนย์ดังกล่าวได้จัดรถตรวจเยี่ยมและนำถุงยังชีพ จำนวน 1,000 ชุด ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และออกตรวจเยี่ยมและนำถุงยังชีพไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อื่นด้วย ทั้งนี้สถานประกอบการ หรือประชาชนที่สนใจ ต้องการบริจาคสิ่งของช่วยเหลือ สอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานปลัด ศธ.โทร.0-2628-6397 หรือสายด่วนกระทรวงศึกษาธิการ 1579
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับสถานศึกษาสังกัด ศธ.ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกน้ำท่วม มีประมาณ 570 โรง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 60 ล้านบาท โดยได้จัดเตรียมงบประมาณเพื่อจัดสรรช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำลดแล้ว จำนวน 100 ล้านบาท ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการดูแลต่อไป คือ การขาดเรียนของเด็กที่โรงเรียนถูกน้ำท่วมก่อนปิดภาคเรียน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เด็กเสียโอกาสโรงเรียนจะต้องจัดการสอนชดเชยให้ หรือเมื่อเปิดภาคเรียนแล้วแต่น้ำยังไม่ลด ก็ต้องจัดหาสถานที่ที่จะจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ศธ.มีหน่วยงานในสังกัดที่มีศักยภาพจำนวนมาก แต่ตนก็อยากให้หน่วยงานเหล่านี้ ได้ออกไปช่วยเหลือประชาชนทั่วไปไม่ใช่แค่เฉพาะโรงเรียนเท่านั้น เช่น วิทยาลัยอาชีวศึกษาต่างๆ สามารถซ่อมบ้าน ซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้กับประชาชนได้ เป็นต้น รวมถึงอยากให้ลูกเสือมีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนในส่วนนี้ด้วย เพื่อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม สำหรับการรับบริจาคเงินจากภาคเอกชนนั้น ตนอยากให้มีการส่งเสริมให้บุคลากรออกไปทำประโยชน์ให้กับประชาชนด้วย ไม่ใช่รับเงินมาแล้วแต่ไปซื้อถุงยังชีพแจกเพียงอย่างเดียว โดยอยากให้นำเงินที่ได้รับบริจาคนำมาเป็นเบี้ยเลี้ยงให้กับกลุ่มบุคคลที่ออกไปช่วยเหลือประชาชน
หรือไปจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ให้กับอาชีวะ และ กศน.เพื่อที่จะนำไปทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่อไป
