วธ.สรุปสถานการณ์น้ำท่วมโบราณใน 5 จังหวัด เล็งย้ายสำนักศิลปากรที่ 5 จากปราจีน ไปอยู่ ชลบุรี เพราะมีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก
วันนี้ (7 ต.ค.) นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ตนได้รับรายงานสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อโบราณสถาน ล่าสุดพบว่ามี 5 จังหวัด ได้แก่ จ.ปราจีนบุรี ที่วัดแก้วพิจิตร มีสภาพน้ำท่วมอุโบสถ หอพระไตรปิฎก และอาคารเรียนปริยัติธรรม ระดับน้ำสูงถึง 70 เซนติเมตร โดยสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ใช้เครื่องสูบน้ำเร่งระบายน้ำแล้ว รวมถึงที่ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำปราจีนบุรี มีระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่สถานการณ์ยังควบคุมได้ นอกจากนี้ที่สำนักงานของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี มีน้ำท่วมสูงถึง 20-60 เซนติเมตร เบื้องต้นได้สร้างพนังกั้นแล้ว แต่ไม่สามารถกั้นได้เนื่องจากน้ำขึ้นสูงและไหลแรง
สำหรับ จ.นนทบุรี ได้รับผลกระทบ 3 แห่ง วัดเกาะพญาเจ่ง วัดป่าเลไลยก์ (ร้าง) และวัดท้องคุ้ง แต่ระดับน้ำได้ลดลงเรื่อยๆ แล้ว ส่วน จ.สุพรรณบุรี ได้รับผลกระทบ 11 แห่ง อาทิ วัดแค, วัดปู่บัว, วัดสำปะซิว, วัดโพธิ์คลาน, วัดพระรูป, วัดอู่ทอง, วัดบางยี่หน ขณะที่ที่ จ.ปทุมธานี ได้รับผลกระทบ 3 แห่ง วัดสะแก, วัดสองพี่น้อง และวัดพลับสุธาวาส และที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มีโบราณสถานหลายแห่งได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำเพิ่มขึ้นของเขื่อนป่าสัก ทั้งวัดไชยวัฒนารามมีระดับน้ำสูงกว่าสันเขื่อน 50 เซนติเมตร วัดธรรมมาราม 40 เซนติเมตร ป้อมเพชร 10 เซนติเมตร และหมู่บ้านโปรตุเกส 10 เซนติเมตร ในเบื้องต้นอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้เตรียมความพร้อมรับมือ โดยจัดเจ้าหน้าที่ 200 คน ไว้ป้องกันน้ำท่วมและจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ป้องกันไว้พร้อมแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่นั้น ถือว่ายังอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้ เนื่องจากระดับน้ำได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้จะดำเนินการกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมศิลปากร และสำนักศิลปากรในพื้นที่ต่างๆ วางมาตรการป้องกันน้ำท่วมโบราณสถานอย่างเร่งด่วน รวมทั้งลงพื้นที่สำรวจความเสียหายอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการวางแนวทางบูรณะซ่อมแซมต่อไป นอกจากนี้ กรมการศาสนา (ศน.) ได้รายงานอีกว่ามีวัดที่ได้รับผลกระทบกว่า 307 แห่ง และพระสงฆ์และสามเณรกว่า 3,104 รูป ใน 10 จังหวัด เบื้องต้น ศน.ได้ดำเนินการช่วยเหลือพระภิกษุสามเณรแล้ว
ด้าน นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่ต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะ จ.พระนครศรีอยุธยา และโบราณถานในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เนื่องจากปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นตลอด ส่วนสถานการณ์ที่ จ.ปราจีนบุรี นั้น โบราณสถานที่น่าเป็นห่วงคือ วัดแก้วพิจิตร เพราะยังมีน้ำท่วมสูง ส่วนปัญหาน้ำท่วมสำนักงานของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรีนั้น ได้มีการหารือว่ามีแผนย้ายสำนักงานของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ไปยังในพื้นที่ จ.ชลบุรี แทนเพื่อเป็นการแก้ปัญหาถูกน้ำท่วมทุกปี
วันนี้ (7 ต.ค.) นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ตนได้รับรายงานสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อโบราณสถาน ล่าสุดพบว่ามี 5 จังหวัด ได้แก่ จ.ปราจีนบุรี ที่วัดแก้วพิจิตร มีสภาพน้ำท่วมอุโบสถ หอพระไตรปิฎก และอาคารเรียนปริยัติธรรม ระดับน้ำสูงถึง 70 เซนติเมตร โดยสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ใช้เครื่องสูบน้ำเร่งระบายน้ำแล้ว รวมถึงที่ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำปราจีนบุรี มีระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่สถานการณ์ยังควบคุมได้ นอกจากนี้ที่สำนักงานของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี มีน้ำท่วมสูงถึง 20-60 เซนติเมตร เบื้องต้นได้สร้างพนังกั้นแล้ว แต่ไม่สามารถกั้นได้เนื่องจากน้ำขึ้นสูงและไหลแรง
สำหรับ จ.นนทบุรี ได้รับผลกระทบ 3 แห่ง วัดเกาะพญาเจ่ง วัดป่าเลไลยก์ (ร้าง) และวัดท้องคุ้ง แต่ระดับน้ำได้ลดลงเรื่อยๆ แล้ว ส่วน จ.สุพรรณบุรี ได้รับผลกระทบ 11 แห่ง อาทิ วัดแค, วัดปู่บัว, วัดสำปะซิว, วัดโพธิ์คลาน, วัดพระรูป, วัดอู่ทอง, วัดบางยี่หน ขณะที่ที่ จ.ปทุมธานี ได้รับผลกระทบ 3 แห่ง วัดสะแก, วัดสองพี่น้อง และวัดพลับสุธาวาส และที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มีโบราณสถานหลายแห่งได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำเพิ่มขึ้นของเขื่อนป่าสัก ทั้งวัดไชยวัฒนารามมีระดับน้ำสูงกว่าสันเขื่อน 50 เซนติเมตร วัดธรรมมาราม 40 เซนติเมตร ป้อมเพชร 10 เซนติเมตร และหมู่บ้านโปรตุเกส 10 เซนติเมตร ในเบื้องต้นอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้เตรียมความพร้อมรับมือ โดยจัดเจ้าหน้าที่ 200 คน ไว้ป้องกันน้ำท่วมและจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ป้องกันไว้พร้อมแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่นั้น ถือว่ายังอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้ เนื่องจากระดับน้ำได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้จะดำเนินการกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมศิลปากร และสำนักศิลปากรในพื้นที่ต่างๆ วางมาตรการป้องกันน้ำท่วมโบราณสถานอย่างเร่งด่วน รวมทั้งลงพื้นที่สำรวจความเสียหายอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการวางแนวทางบูรณะซ่อมแซมต่อไป นอกจากนี้ กรมการศาสนา (ศน.) ได้รายงานอีกว่ามีวัดที่ได้รับผลกระทบกว่า 307 แห่ง และพระสงฆ์และสามเณรกว่า 3,104 รูป ใน 10 จังหวัด เบื้องต้น ศน.ได้ดำเนินการช่วยเหลือพระภิกษุสามเณรแล้ว
ด้าน นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่ต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะ จ.พระนครศรีอยุธยา และโบราณถานในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เนื่องจากปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นตลอด ส่วนสถานการณ์ที่ จ.ปราจีนบุรี นั้น โบราณสถานที่น่าเป็นห่วงคือ วัดแก้วพิจิตร เพราะยังมีน้ำท่วมสูง ส่วนปัญหาน้ำท่วมสำนักงานของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรีนั้น ได้มีการหารือว่ามีแผนย้ายสำนักงานของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ไปยังในพื้นที่ จ.ชลบุรี แทนเพื่อเป็นการแก้ปัญหาถูกน้ำท่วมทุกปี