ไทย-พม่าเซ็นเอ็มโอยูด้านสาธารณสุข 7 สาขา หวังดูแลประชากรแนวชายแดน พร้อมรับการเปิดเออีซี เน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูล พัฒนาบุคลากร และศึกษาวิจัยร่วมกัน โดยเฉพาะเอดส์ วัณโรค มาลาเรีย คุมพื้นที่ 4 จังหวัดคู่แฝด พร้อมตั้งห้องเฝ้าระวังยาปลอมและไม่ได้มาตรฐานตามแนวชายแดน 4 แห่ง
วันนี้ (20 ก.ย.) ที่โรงแรมมัณฑะเลย์ ฮิล รีสอร์ท เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ในการประชุมความร่วมมือด้านสาธารณสุขไทย-เมียนมาร์ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ ศ.พี เธท คิน รัฐมนตรีสาธารณสุขแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข (MOU : Memorandum Of Understanding on Health Cooperation) ซึ่งเป็นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรก ทั้งนี้ เอ็มโอยูดังกล่าวมีอายุ 5 ปี มีความร่วมมือใน 7 สาขา ได้แก่ 1.การเฝ้าระวังโรค 2.การควบคุมมาตรฐานอาหารและยา 3.การแพทย์พื้นบ้าน 4.การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง 5.การควบคุมโรคติดต่อและโรคติดต่ออุบัติใหม่ โดยเฉพาะโรคระบาดข้ามเขตแดน 6.การส่งเสริมสุขภาพ และ 7.การพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามพรมแดน
สำหรับรูปแบบความร่วมมือ ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากร เช่น การฝึกอบรม การศึกษาดูงาน เป็นต้น และการศึกษาวิจัยร่วมกัน เช่น การแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพร โดยจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมตามข้อตกลงดังกล่าวระหว่างปี 2556-2558 ซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 สำหรับงบประมาณที่ใช้ตามแผนดังกล่าวประกอบด้วย งบประมาณของแต่ละประเทศและเงินสนับสนุนจากองค์กรและหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น กองทุนโลกเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย เป็นต้น โดยมีระบบและกลไกติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือดังกล่าวก็เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพตามแนวชายแดน โดยเฉพาะปัญหาวัณโรค เอดส์ และมาลาเรีย ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากประชากรมีการเคลื่อนย้ายตลอดเวลา สำหรับปัญหาชาวพม่าข้ามมาใช้บริการสถานพยาบาลฝั่งไทยจนเกิดภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากนั้น ไทยก็จะช่วยพม่าในการตั้งระบบหลักประกันสุขภาพ โดยจะร่วมมือกับองค์กรระดับโลกต่างๆ ที่จะสนับสนุนเม็ดเงินในการช่วยเหลือ โดยอาจสร้างสถานบริการตามแนวชายแดนก่อน จากนั้นจึงค่อยสร้างโรงพยาบาลระดีบสูงขึ้น โดยสถานพยาบาลฝั่งไทยจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ ส่วนการเคลื่อนย้ายแรงงานนั้นอยากให้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐกับรัฐ เพราะแรงงานจะได้รับการดูแล ไม่ถูกหลอกลวงเข้ามาค้าแรงงานหรือค้ามนุษย์
ศ.พี เธท คิน กล่าวว่า พม่าและไทยมีความร่วมมือด้านสาธารณสุขมานาน ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากจะเน้นปัญหาเรื่องวัณโรค เอดส์ และมาลาเรียแล้ว จะเน้นการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาบุคลากรของพม่า การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านอาหาร ยา และเครื่องสำอาง งานอนามัยแม่และเด็ก รวมไปถึงระบบสุขภาพตามแนวชายแดน ซึ่งที่ผ่านมาอาจไม่มีการดูแลที่ดีนัก เนื่องจากปัญหาทางด้านการเมือง แต่ขณะนี้ได้มีการเจจรจาตกลงด้านสันติภาพแล้ว ก็จะมีการให้บริการรักษาพยาบาลสุขภาพของคนชายแดนที่เท่าเทียมกับคนในเมืองหลวง
ศ.พี เธท คิน กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาตามแนวชายแดนโดยเฉพาะเรื่องการดื้อยาเอดส์ มาลาเรีย และวัณโรค ทราบว่ามีปัญหา แต่มีปัญหามากน้อยขนาดใดยังไม่ชัดเจน แต่การลงนามเอ็มโอยูในครั้งนี้จะสามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ดีขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากร และการพัฒนาสถานีอนามัยให้ดีขึ้น
นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัด สธ. กล่าวว่า แผนปฏิบัติการความร่วมมือดังกล่าว ประกอบด้วย การเฝ้าระวังโรค การป้องกันควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะมีการเฝ้าระวังการดื้อยาของเชื้อเอดส์ มาลาเรีย และวัณโรค และการจัดตั้งห้องปฏิบัติการอาหารและยาขนาดย่อยเพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังยาปลอมและยาที่ไม่ได้มาตรฐาน 4 แห่ง ที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียวดี ทวาย และเกาะสอง
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีการซ้อมแผนรับมือโรคระบาดและภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข การพัฒนาระบบรักษาพยาบาลและการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดน โดยเน้นการพัฒนาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของกลุ่มแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามเขตแดนด้วยการจัดให้มีหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสม เช่น บัตรประกันสุขภาพ โดยมีเป้าหมายเพิ่มความสำเร็จการรักษาผู้ป่วยวัณโรคหายขาดจากร้อยละ 85 เป็นร้อยละ 90 รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขของทั้ง 2 ประเทศและอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว
"พื้นที่เป้าหมายที่จะดำเนินการร่วมกันคือ 4 จังหวัดคู่แฝด ได้แก่ เชียงรายกับท่าขี้เหล็ก ตากกับเมียวดี กาญจนบุรีกับทวาย และระนองกับเกาะสอง โดยมีกรมควบคุมโรครับผิดชอบหลัก และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมดำเนินการ สาขาการแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพรจะเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากร เช่น การแลกเปลี่ยนศึกษาดูงาน การพัฒนาระบบการควบคุมคุณภาพและการผลิตสมุนไพรให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาและควบคุมคุณภาพยาสมุนไพร โดยมีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นหน่วยงานหลัก" รองปลัด สธ. กล่าว
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับสาขาอาหาร ยาและเครื่องสำอางจะเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านระเบียบและกฎหมายอาหารและยา การพัฒนาบุคลากร มีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหน่วยงานหลัก สาขาการส่งเสริมสุขภาพ จะมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพนักเรียน วัยรุ่นและผู้สูงอายุ รวมทั้งการส่งเสริมด้านโภชนาการ จะมีการฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนศึกษาดูงาน โดยมีกรมอนามัยเป็นหน่วยงานหลัก ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความร่วมมือกับสหภาพเมียนมาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขชายแดนมาตั้งแต่ 2543 เน้นหนักเรื่องโรคมาลาเรีย เอดส์ วัณโรค พบว่ามีพัฒนาการดีขึ้นเป็นลำดับ โดยมีประชากรเมียนมาร์อาศัยตามแนวชายแดนประมาณ 1 ล้าน 6 แสนคน มีพื้นที่ติดต่อกับไทย 16 จังหวัด (Township) ใน 4 รัฐ ได้แก่ รัฐฉาน (Shan) คะยา(Kayah) คะยิน (Kayin) มอญ (Mon) และเขตทะนินทะยี (Tanintharyi) มีโรงพยาบาลของเมียนมาร์อยู่ที่ชายแดน 2 แห่ง และคลินิก 1 แห่ง ขณะนี้คาดว่าจะมีชาวเมียนมาร์ประกอบอาชีพในประเทศไทยกว่า 1 ล้านคน
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวต่อไปว่า จากการเฝ้าระวังการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มประชากรเมียนมาร์ในประเทศไทยล่าสุดในปี 2555 พบอัตราการติดเชื้อร้อยละ 1 ลดลงจากร้อยละ 1.22 ในปี 2553 ส่วนโรคมาลาเรียชายแดนไทย-พม่า ในภาพรวมมีแนวโน้มลดลง โดยในกลุ่มคนไทยลดจาก 14,431 รายในปี 2553 เหลือ 9,600 ราย ในปี 2555 ในกลุ่มชาวต่างชาติลดจาก 19,283 ราย เหลือ 8,367 ราย จังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยมาลาเรียสูงสุด ได้แก่ ตาก กาญจนบุรี และแม่ฮ่องสอน สำหรับวัณโรคนั้น ในปี 2554 พบผู้ป่วยวัณโรคในกลุ่มต่างด้าว 2,268 ราย และมีปัญหาเชื้อดื้อยาร้อยละ 1-4 ส่วนคนไทยพบปัญหาเชื้อดื้อยาร้อยละ 1.7 และจากรายงานผลการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาร์ พบอัตราการติดเชื้อวัณโรคประมาณร้อยละ 0.2
วันนี้ (20 ก.ย.) ที่โรงแรมมัณฑะเลย์ ฮิล รีสอร์ท เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ในการประชุมความร่วมมือด้านสาธารณสุขไทย-เมียนมาร์ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ ศ.พี เธท คิน รัฐมนตรีสาธารณสุขแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข (MOU : Memorandum Of Understanding on Health Cooperation) ซึ่งเป็นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรก ทั้งนี้ เอ็มโอยูดังกล่าวมีอายุ 5 ปี มีความร่วมมือใน 7 สาขา ได้แก่ 1.การเฝ้าระวังโรค 2.การควบคุมมาตรฐานอาหารและยา 3.การแพทย์พื้นบ้าน 4.การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง 5.การควบคุมโรคติดต่อและโรคติดต่ออุบัติใหม่ โดยเฉพาะโรคระบาดข้ามเขตแดน 6.การส่งเสริมสุขภาพ และ 7.การพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามพรมแดน
สำหรับรูปแบบความร่วมมือ ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากร เช่น การฝึกอบรม การศึกษาดูงาน เป็นต้น และการศึกษาวิจัยร่วมกัน เช่น การแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพร โดยจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมตามข้อตกลงดังกล่าวระหว่างปี 2556-2558 ซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 สำหรับงบประมาณที่ใช้ตามแผนดังกล่าวประกอบด้วย งบประมาณของแต่ละประเทศและเงินสนับสนุนจากองค์กรและหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น กองทุนโลกเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย เป็นต้น โดยมีระบบและกลไกติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือดังกล่าวก็เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพตามแนวชายแดน โดยเฉพาะปัญหาวัณโรค เอดส์ และมาลาเรีย ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากประชากรมีการเคลื่อนย้ายตลอดเวลา สำหรับปัญหาชาวพม่าข้ามมาใช้บริการสถานพยาบาลฝั่งไทยจนเกิดภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากนั้น ไทยก็จะช่วยพม่าในการตั้งระบบหลักประกันสุขภาพ โดยจะร่วมมือกับองค์กรระดับโลกต่างๆ ที่จะสนับสนุนเม็ดเงินในการช่วยเหลือ โดยอาจสร้างสถานบริการตามแนวชายแดนก่อน จากนั้นจึงค่อยสร้างโรงพยาบาลระดีบสูงขึ้น โดยสถานพยาบาลฝั่งไทยจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ ส่วนการเคลื่อนย้ายแรงงานนั้นอยากให้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐกับรัฐ เพราะแรงงานจะได้รับการดูแล ไม่ถูกหลอกลวงเข้ามาค้าแรงงานหรือค้ามนุษย์
ศ.พี เธท คิน กล่าวว่า พม่าและไทยมีความร่วมมือด้านสาธารณสุขมานาน ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากจะเน้นปัญหาเรื่องวัณโรค เอดส์ และมาลาเรียแล้ว จะเน้นการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาบุคลากรของพม่า การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านอาหาร ยา และเครื่องสำอาง งานอนามัยแม่และเด็ก รวมไปถึงระบบสุขภาพตามแนวชายแดน ซึ่งที่ผ่านมาอาจไม่มีการดูแลที่ดีนัก เนื่องจากปัญหาทางด้านการเมือง แต่ขณะนี้ได้มีการเจจรจาตกลงด้านสันติภาพแล้ว ก็จะมีการให้บริการรักษาพยาบาลสุขภาพของคนชายแดนที่เท่าเทียมกับคนในเมืองหลวง
ศ.พี เธท คิน กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาตามแนวชายแดนโดยเฉพาะเรื่องการดื้อยาเอดส์ มาลาเรีย และวัณโรค ทราบว่ามีปัญหา แต่มีปัญหามากน้อยขนาดใดยังไม่ชัดเจน แต่การลงนามเอ็มโอยูในครั้งนี้จะสามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ดีขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากร และการพัฒนาสถานีอนามัยให้ดีขึ้น
นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัด สธ. กล่าวว่า แผนปฏิบัติการความร่วมมือดังกล่าว ประกอบด้วย การเฝ้าระวังโรค การป้องกันควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะมีการเฝ้าระวังการดื้อยาของเชื้อเอดส์ มาลาเรีย และวัณโรค และการจัดตั้งห้องปฏิบัติการอาหารและยาขนาดย่อยเพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังยาปลอมและยาที่ไม่ได้มาตรฐาน 4 แห่ง ที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียวดี ทวาย และเกาะสอง
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีการซ้อมแผนรับมือโรคระบาดและภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข การพัฒนาระบบรักษาพยาบาลและการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดน โดยเน้นการพัฒนาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของกลุ่มแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามเขตแดนด้วยการจัดให้มีหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสม เช่น บัตรประกันสุขภาพ โดยมีเป้าหมายเพิ่มความสำเร็จการรักษาผู้ป่วยวัณโรคหายขาดจากร้อยละ 85 เป็นร้อยละ 90 รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขของทั้ง 2 ประเทศและอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว
"พื้นที่เป้าหมายที่จะดำเนินการร่วมกันคือ 4 จังหวัดคู่แฝด ได้แก่ เชียงรายกับท่าขี้เหล็ก ตากกับเมียวดี กาญจนบุรีกับทวาย และระนองกับเกาะสอง โดยมีกรมควบคุมโรครับผิดชอบหลัก และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมดำเนินการ สาขาการแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพรจะเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากร เช่น การแลกเปลี่ยนศึกษาดูงาน การพัฒนาระบบการควบคุมคุณภาพและการผลิตสมุนไพรให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาและควบคุมคุณภาพยาสมุนไพร โดยมีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นหน่วยงานหลัก" รองปลัด สธ. กล่าว
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับสาขาอาหาร ยาและเครื่องสำอางจะเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านระเบียบและกฎหมายอาหารและยา การพัฒนาบุคลากร มีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหน่วยงานหลัก สาขาการส่งเสริมสุขภาพ จะมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพนักเรียน วัยรุ่นและผู้สูงอายุ รวมทั้งการส่งเสริมด้านโภชนาการ จะมีการฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนศึกษาดูงาน โดยมีกรมอนามัยเป็นหน่วยงานหลัก ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความร่วมมือกับสหภาพเมียนมาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขชายแดนมาตั้งแต่ 2543 เน้นหนักเรื่องโรคมาลาเรีย เอดส์ วัณโรค พบว่ามีพัฒนาการดีขึ้นเป็นลำดับ โดยมีประชากรเมียนมาร์อาศัยตามแนวชายแดนประมาณ 1 ล้าน 6 แสนคน มีพื้นที่ติดต่อกับไทย 16 จังหวัด (Township) ใน 4 รัฐ ได้แก่ รัฐฉาน (Shan) คะยา(Kayah) คะยิน (Kayin) มอญ (Mon) และเขตทะนินทะยี (Tanintharyi) มีโรงพยาบาลของเมียนมาร์อยู่ที่ชายแดน 2 แห่ง และคลินิก 1 แห่ง ขณะนี้คาดว่าจะมีชาวเมียนมาร์ประกอบอาชีพในประเทศไทยกว่า 1 ล้านคน
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวต่อไปว่า จากการเฝ้าระวังการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มประชากรเมียนมาร์ในประเทศไทยล่าสุดในปี 2555 พบอัตราการติดเชื้อร้อยละ 1 ลดลงจากร้อยละ 1.22 ในปี 2553 ส่วนโรคมาลาเรียชายแดนไทย-พม่า ในภาพรวมมีแนวโน้มลดลง โดยในกลุ่มคนไทยลดจาก 14,431 รายในปี 2553 เหลือ 9,600 ราย ในปี 2555 ในกลุ่มชาวต่างชาติลดจาก 19,283 ราย เหลือ 8,367 ราย จังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยมาลาเรียสูงสุด ได้แก่ ตาก กาญจนบุรี และแม่ฮ่องสอน สำหรับวัณโรคนั้น ในปี 2554 พบผู้ป่วยวัณโรคในกลุ่มต่างด้าว 2,268 ราย และมีปัญหาเชื้อดื้อยาร้อยละ 1-4 ส่วนคนไทยพบปัญหาเชื้อดื้อยาร้อยละ 1.7 และจากรายงานผลการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาร์ พบอัตราการติดเชื้อวัณโรคประมาณร้อยละ 0.2