มอ.ปัตตานีเผยวิจัยพบคนไทยในรัฐเคดาห์ มาเลเซีย รักษาศิลปวัฒนธรรมความเป็นไทยตามลักษณ์ดั้งเดิมของชาวปักษ์ใต้ วธ.หนุนไทย-มาเลเซียน เรียนรู้วัฒนธรรมร่วมกันก่อนเข้าสู่ประชาอาเซียน
นายสุระ เตชะทัต ที่ปรึกษา รมว.วัฒนธรรม ในฐานะประธานเปิดการเสวนา “บ้านเราอุษาคเนย์” และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ไทย-มาเลเซียในดินแดนอุษาคเนย์” กล่าวว่า ไทยและมาเลเซียมีขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ วธ.ควรส่งเสริมเรื่องศิลปวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก้าวสู่อาเซียน โดยใช้อัตลักษณ์และทุนทางวัฒนธรรม นำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา มีพื้นที่ติดต่อกับมาเลเซีย มีสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม อาทิ วัดคูเต่า อ.บางกล่ำ มีศาลาโบราณที่มีอายุกว่า 100 ปีที่ได้รับรางวัลศาลาเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2011 จากยูเนสโก งานประเพณีชักพระ ตำนานนางเลือดขาวที่เขาวังชิง อ.คลองหอยโข่ง แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น ทะเลสาบสงขลา แหลมสมิหลา เขาน้อย เขาตังกวน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา เกาะยอ สะพานติณสูลานนท์ ตลาดกิมหยง วัดถ้ำเขารูปช้าง เป็นต้น ทำให้เกิดเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์แห่งใหม่ระหว่างสองประเทศ คือ สงขลา-ละออร์ สตาร์-กัวลาลัมเปอร์ โดยเมืองละออร์ สตาร์ รัฐเคดาห์ มีภูมิประเทศ ประชากร และศิลปวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับประเทศไทยมากที่สุด มีคนมาเลเซียเชื้อสายไทยอาศัยอยู่มากที่สุด
นายสุระ กล่าวต่อว่า ผลการวิจัยของสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ยังพบเรื่องที่น่ายินดีอีกว่าชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของชาวไทยในรัฐเคดาห์ มาเลเซีย ยังคงดำรงไว้ตามลักษณ์ดั้งเดิมของชาวไทยปักษ์ใต้ ทั้งศาสนาและความเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไว้เช่นเดิม ขณะที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศ ยังมีเมืองใหม่ปุตราจายาที่มีความสวยงามของภูมิประเทศเป็นจุดขาย ทั้งนี้ประเทศไทยควรใช้มิติทางวัฒนธรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีชีวิตเพื่อนบ้านอย่างประเทศมาเลเซียมากยิ่งขึ้น
นายสุระ เตชะทัต ที่ปรึกษา รมว.วัฒนธรรม ในฐานะประธานเปิดการเสวนา “บ้านเราอุษาคเนย์” และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ไทย-มาเลเซียในดินแดนอุษาคเนย์” กล่าวว่า ไทยและมาเลเซียมีขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ วธ.ควรส่งเสริมเรื่องศิลปวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก้าวสู่อาเซียน โดยใช้อัตลักษณ์และทุนทางวัฒนธรรม นำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา มีพื้นที่ติดต่อกับมาเลเซีย มีสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม อาทิ วัดคูเต่า อ.บางกล่ำ มีศาลาโบราณที่มีอายุกว่า 100 ปีที่ได้รับรางวัลศาลาเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2011 จากยูเนสโก งานประเพณีชักพระ ตำนานนางเลือดขาวที่เขาวังชิง อ.คลองหอยโข่ง แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น ทะเลสาบสงขลา แหลมสมิหลา เขาน้อย เขาตังกวน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา เกาะยอ สะพานติณสูลานนท์ ตลาดกิมหยง วัดถ้ำเขารูปช้าง เป็นต้น ทำให้เกิดเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์แห่งใหม่ระหว่างสองประเทศ คือ สงขลา-ละออร์ สตาร์-กัวลาลัมเปอร์ โดยเมืองละออร์ สตาร์ รัฐเคดาห์ มีภูมิประเทศ ประชากร และศิลปวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับประเทศไทยมากที่สุด มีคนมาเลเซียเชื้อสายไทยอาศัยอยู่มากที่สุด
นายสุระ กล่าวต่อว่า ผลการวิจัยของสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ยังพบเรื่องที่น่ายินดีอีกว่าชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของชาวไทยในรัฐเคดาห์ มาเลเซีย ยังคงดำรงไว้ตามลักษณ์ดั้งเดิมของชาวไทยปักษ์ใต้ ทั้งศาสนาและความเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไว้เช่นเดิม ขณะที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศ ยังมีเมืองใหม่ปุตราจายาที่มีความสวยงามของภูมิประเทศเป็นจุดขาย ทั้งนี้ประเทศไทยควรใช้มิติทางวัฒนธรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีชีวิตเพื่อนบ้านอย่างประเทศมาเลเซียมากยิ่งขึ้น
