xs
xsm
sm
md
lg

อภ.ชี้บรรจุยาผิดไม่เกิน 100 เม็ด แพทย์ยันกินยาสลับกันไม่อันตราย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เภสัชกรเตือนสังเกตยาก่อนรับประทาน ระบุแพทย์ต้องแจ้งผู้ป่วยทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนยา หากได้ยาผิดไปจากเดิมโดยไม่มีการแจ้ง ให้รีบกลับไปถามแพทย์หรือปรึกษาเภสัชกรเพื่อความแน่ใจ ชี้หากผู้ป่วยทานยา Isosorbide Dinitrate และ Amlodipine สลับกัน อาจกระทบการควบคุมความดัน แพทย์ร่วมยันไม่อันตราย อาจทำให้ความดันต่ำลง วิงเวียน นอนพักก็ดีขึ้น ด้าน อภ.เตรียมแถลงข่าวชี้แจง 9 ก.ย.เผยบรรจุยาผิดแค่ 50-100 เม็ด ไม่ได้มากอย่างที่คิด
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
จากกรณีปัญหาการบรรจุยาผิดขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) โดยบรรจุยา Isosorbide Dinitrate 10 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาโรคหัวใจ ลงในซองยา Amlodipine 5 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยารักษาความดันโลหิตสูง โดยมีการกระจายไปยังโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) 7 แห่ง และเริ่มพบผิดสังเกตที่โรงพยาบาลมะการักษ์ จ.กาญจนบุรี โดย สธ.ได้สั่งหยุดผลิต หยุดจ่ายยา เรียกคืนยา และสั่งสอบข้อเท็จจริงแล้วนั้น

เบื้องต้น ทีมข่าวคุณภาพชีวิต ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้สืบค้นข้อมูลของยาทั้ง 2 ชนิด พบว่า ในเว็บไซต์ยาและคุณ (www.yaandyou.net) ระบุข้อมูลของยาชื่อสามัญ Isosorbide Dinitrate ดังนี้ ยาดังกล่าวใช้เพื่อป้องกันการเกิดอาการปวดเค้นหัวใจ และเพื่อรักษาโรคของหลอดเลือดหัวใจ โดยยาดังกล่าวอยู่ในรูปแบบยาเม็ดใช้สำหรับรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานวันละ 1-2 ครั้ง หรือใช้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร โดยต้องรับประทานยานี้ตอนท้องว่าง ก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง รับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง ห้ามหยุดใช้ยาด้วยตัวเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อน โดยต้องกลืนยาทั้งเม็ด ห้ามหัก บด หรือเคี้ยวยานี้ ไม่ใช้ยานี้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บเค้นหัวใจที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน

สำหรับผลข้างเคียง การรับประทานยานี้อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ มึนงงได้เมื่อลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนท่าทางอย่างช้าๆ นอกจากนี้ อาจทำให้มีอาการง่วงซึม ที่สำคัญหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในระหว่างที่รับประทานยานี้อยู่ อย่างไรก็ตาม หากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที ได้แก่ ริมฝีปาก เล็บ ฝ่ามือซีดจางหรือเขียว มองภาพไม่ชัด วิงเวียน หมดสติ ปากแห้ง เจ็บหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นจังหวะไม่ปกติ ความดันต่ำ ผื่นคัน เหงื่อออกมากผิดปกติ เหนื่อย อ่อนเพลียผิดปกติ รวมไปถึงอาการที่รบกวนชีวิตประจำวัน ดังนี้ ปวดศีรษะ หน้าแดง ร้อนวูบวาบ คลื่นไส้ อาเจียน และไม่สบายท้อง

หากลืมรับประทานยาหรือใช้ยา โดยทั่วไปถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่หากเวลาที่นึกได้ว่าลืมรับประทานยาห่างจากเวลารับประทานมื้อต่อไปไม่ถึง 6 ชั่วโมง ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า ส่วนวิธีการเก็บรักษานั้น ให้เก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดภาชนะให้สนิท และเก็บให้พ้นมือเด็ก เก็บยานี้ในภาชนะที่ป้องกันแสงได้ เช่น ขวดหรือซองสีชา เก็บยานี้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ให้อยู่ในที่ร้อนมากกว่า 30 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณที่ถูกแสงแดดโดยตรง และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น ทิ้งยานี้เมื่อยาหมดอายุ

ขณะที่เว็บไซต์ Thaiheartclinic.com ระบุว่า ยา Isosorbide Dinitrate แบบรับประทานนั้น ขนาดยาที่ใช้ต่อครั้งจะอยู่ที่ 10-40 มิลลิกรัม ส่วนแบบรับประทานออกฤทธิ์ยาว จะมีขนาด 80-120 มิลลิกรัมต่อครั้ง มีประโยชน์ทางคลินิกคือรักษาโรคหัวใจขาดเลือดจากเส้นเลือดหัวใจตีบ โดยการขยายเส้นเลือดแดงโคโรนารี และรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวโดยการขยายเส้นเลือดแดง เพื่อทำให้ความต้านทานเส้นเลือดลดลง และขยายเส้นเลือดดำเพื่อทำให้ลดปริมาณเลือดดำไหลกลับเข้าหัวใจ โดยข้อห้ามในการใช้ยานี้คือ ห้ามใช้ร่วมกับยาไวอากร้าเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำอย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ส่วนข้อควรระวังคือ การใช้ยาดังกล่าวติดต่อกันจะทำให้เกิดภาวะดื้อยาได้ ดังนั้นจึงควรกำหนดความถี่ในการให้ยา ให้เหมาะสมให้มีช่วงที่ปลอดยา อย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อวัน โดยเฉพาะถ้าเป็นแบบปิดหน้าอกควรเอาแผ่นออกตอนกลางคืน และการหยุดยากระทันหันในรายที่ให้ยาขนาดสูงๆเป็นระยะเวลานาน อาจเกิดอาการถอนยาได้ คือมีฤทธิ์ตรงข้ามกับการออกฤทธิ์ของยา เช่น ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้

สำหรับยา Amlodipine นั้น ในเว็บไซต์ยาและคุณ ได้ระบุไว้เช่นกันว่า ยาดังกล่าวใช้เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง ป้องกันอาการปวดเค้น หรืออาการเจ็บหน้าอก วิธีใช้ยาเป็นแบบรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานวันละครั้ง หรือใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร การรับประทานยานี้ได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร แต่ควรเป็นเวลาเดียวกันในแต่ละวัน และควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสเค็มและอาหารที่มีปริมาณเกลือหรือโซเดียมสูง

ข้อควรระวังคือ ยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือควบคุมเครื่องจักร หากดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการใช้ยานี้อาจทำให้มีอาการมึนงงหรือง่วงซึมมากขึ้น นอกจากนี้ ยาดังกล่าวอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ดังนั้นจึงไม่ควรลุกขึ้นยืนหรือนั่งลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหยุดรับประทานยานี้ทันที ควรปรึกษาแพทย์เพื่อค่อยๆปรับลดขนาดยาลง หากลืมรับประทานยาหรือใช้ยา โดยทั่วไปถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้กับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

ทั้งนี้ อาการหากเกิดอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที ได้แก่ มีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน ผื่นลมพิษ บวมตามอวัยวะต่างๆ เช่น ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หายใจลำบาก เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม การมองเห็นหรือการได้ยินเปลี่ยนแปลงไป เจ็บหน้าอกมากขึ้นหรือถี่ขึ้น หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเร็วผิดปกติ บวมตามอวัยวะต่างๆ เช่น ขา ข้อเท้า และหากมีอาการเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน คือ ปวดศีรษะ มึนงง ปวดหรือไม่สบายท้อง มีลมในกระเพาะอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยหรืออ่อนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ หน้าแดง ร้อนวูบวาบ ง่วงซึม ให้รับแจ้งแพทย์และเภสัชกรเช่นกัน

เรื่องการเก็บรักษายา ให้เก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดภาชนะให้สนิท และเก็บให้พ้นมือเด็ก เก็บยานี้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ให้อยู่ในที่ร้อนมากกว่า 30 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณที่ถูกแสงแดดโดยตรง และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น และเก็บไว้ในภาชนะที่ป้องกันแสงได้ เช่น ขวดหรือซองสีชา และต้องทิ้งยานี้เมื่อยาหมดอายุ

อย่างไรก็ตาม นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการติดตามและตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในวันที่ 9 ก.ย.นี้ จะแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า จำนวนที่มีปัญหาไม่ได้มีจำนวนมากอย่างที่เข้าใจ โดยล็อตที่ทำการผลิตมีประมาณ 6 แสนเม็ดจริง แต่การบรรจุยาผิดซองนั้นมีประมาณ 50-100 เม็ด ซึ่งเกิดจากช่วงที่ต้องนำยาออกมาสุ่มตรวจคุณภาพในห้องแล็บ โดยเมื่อตรวจแล้วเสร็จจะต้องทิ้ง แม้ว่าคุณภาพยาจะดีก็ตาม เพราะเป็นขั้นตอนการผลิตที่ทำกันอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือเมื่อตรวจคุณภาพแล้วเสร็จกลับไม่ทิ้ง เพราะอาจเห็นว่ายาใช้ได้ จึงนำมาเทกลับเข้าระบบผลิตทำให้เกิดปัญหาสลับยาระหว่างบรรจุได้

นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ทราบว่าในวันที่ 9 ก.ย. อภ.จะทำการแถลงข่าวถึงปัญหาการบรรจุยาสลับกันระหว่างยารักษาโรคความดันโลหิต Isosorbide Dinitrate และยารักษาโรคหัวใจ Amlodipine โดยจะมีการเผยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา การวางระบบในการจ่ายยาต่อไป และสาเหตุเบื้องต้นของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งคงต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวถึงสาเหตุความผิดพลาดว่าเกิดจากอะไรในกระบวนการผลิต และให้นำตัวแทนของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรมมาร่วมเป็นกรรมการสอบ เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลการทำงาน รวมทั้งตั้งกรรมการตรวจสอบยาที่มีการสลับกันว่าเป็นจำนวนที่แท้จริงเท่าใด อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าเรื่องดังกล่าวคงไม่น่าจะเป็นการติสเครดิส ผอ.องค์การเภสัชกรรมคนใหม่ ที่เพิ่งมารับตำแหน่งเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากกระบวนการผลิตมีขึ้นในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2556 อยู่ในช่วงของรักษาการ ผอ.อภ.จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบล็อตการผลิตยาดังกล่าว มีต้องการกระจายไปในโรงพยาบาล 7 แห่ง แต่มีการกระจายจริงเพียง 1-2 แห่งเท่านั้น และความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมีเพียงหลักร้อยเม็ดเท่านั้น

ยอมรับว่าความผิดพลาดที่เกิดกับองค์การเภสัชกรรม ทำให้เสียความเชื่อถือ ต้องมีการตรวจสอบการผลิต และการตั้งคณะกรรมการสอบครั้งนี้ต้องมีสหภาพแรงงานของอภ.อยู่ด้วย ต้องมีความรับผิดชอบไม่ใช่ตั้งกรรมการมาเพื่อช่วยเหลือกัน” รมว.สาธารณสุข กล่าว

ด้าน ภญ.นุศราพร เกษสมบูรณ์ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ยาทั้งสองชนิดเป็นยาในกลุ่มหัวใจและหลอดเลือด อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อควรระวังในบางกรณี เช่น กรณีที่ผู้ป่วยควรจะได้รับยา Amlodipine 5 มิลลิกรัม แต่ได้รับยา Isosorbide dinitrate 10 มิลลิกรัม แทน อาจทำให้การควบคุมความดันเลือดของผู้ป่วยไม่เป็นไปตามเป้าหมายการรักษา เนื่องจากกลไกการออกฤทธิ์ของยา และขนาดยาที่ใช้มีความแตกต่างกัน ในกรณีนี้แนะนำให้ผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับยา Amlodipine 5 มิลลิกรัม ที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ควรนำแผงยาที่ได้รับกลับไปยังสถานบริการที่จ่ายยาให้แก่ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง หรือนำไปปรึกษาเภสัชกรใกล้บ้าน



นพ.วสันต์ อุทัยเฉลิม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ยาทั้งสองตัวเป็นยาขยายเส้นเลือด โดยยา Isosorbide dinitrate จะขยายเส้นเลือดดำเยอะกว่า ส่วนยา Amlodipine จะขยายเส้นเลือดแดงเยอะกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ป่วยจะรับประทานยาสลับกันก็ไม่ถือว่าเป็นอันตรายร้ายแรงใดๆ เพียงแต่หากมีความดันต่ำอยู่แล้วจะทำให้ความดันต่ำลงไปอีก หากประชาชนได้รับยาที่บรรจุผิดซองแล้วรับประทานไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะอาการอย่างมากอาจแค่เวียนหัว ก็ให้นั่งหรือนอนพักก็จะหายเป็นปกติ นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายก็อาจจะมีแนวทางการรักษาที่ต้องรับประทานยาทั้งสองตัวควบคู่กันอยู่แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น