คดีทุจริต มมส.ทำ “พิษณุ” เซ็ง! เหตุถูกร้องว่าถูกซื้อตัว ขณะที่เจ้าตัวชี้กล่าวหาร้ายแรงแต่ไม่คิดฟ้องร้อง ยันทำตามหน้าที่ พร้อมเร่งประชุมสรุปปิดคดี 28 ส.ค.นี้ ขณะที่ “ศุภชัย” ระบุใครผิดว่าไปตามผิด
วันนี้ (27 ส.ค.) นายพิษณุ ตุลสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนความผิดทางวินัยร้ายแรง นายศุภชัย สมัปปิโต รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) และผู้เกี่ยวข้อง กรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้มูลเรื่องการทุจริตในการเบิกจ่ายเงินโครงการก่อสร้างอาคารวิทยพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ มมส.วงเงิน 88 ล้านบาท มีพฤติการณ์ไม่ชอบด้วยระเบียบ กฎหมาย หรือมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงิน หรือทรัพย์สินของราชการ และกรณีร้องเรียนกล่าวหาการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษอธิการบดี โดยใช้เงินรายได้ ให้แก่ นายศุภชัย โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หรือกฎหมายกำหนด ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า นายศุภชัยมีพฤติการณ์น่า เชื่อว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ว่า ตามที่คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้จัดทำบันทึกการแจ้งการรับทราบข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาแบบ สว.3 ส่งให้ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวรับทราบข้อกล่าวหารับทราบข้อกล่าวหาแล้วจำนวน 4 ราย ได้แก่ 1.นายศุภชัย 2.นายปิยพันธ์ แสนทวีสุข รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิตและพัฒนาองค์กร ในฐานะอดีตรองอธิการบดีฝ่ายอำนวยการ มมส.หัวหน้างานพัสดุ และรักษาการผู้อำนวยการกองคลัง และ เจ้าหน้าที่พัสดุ นั้น ขณะนี้ทั้ง 4 รายได้ส่งเอกสารหลักฐานเพื่อแก้ข้อกล่าวหามายังคณะกรรมการสอบสวนฯ แล้วซึ่งคณะกรรมการสอบสวนฯ จะประชุมเพื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่ผู้ถูกกล่าวหาได้เสนอมา ในวันที่ 28 ส.ค.นี้ ส่วนการพิจารณาจะเป็นไปในทิศทางใดนั้นตนยังไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน โดยจะเร่งสรุปผลแล้วส่งรายงานให้นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) รับทราบต่อไป
“ถือว่ากระบวนการสอบสวนเรื่องปัญหาการทุจริตของ มมส.ดำเนินการไปได้ค่อนข้างเร็ว การดำเนินการต่างๆ ทำไปตามขั้นตอนกฎหมายทุกอย่าง แต่ผมก็ยังถูกร้องเรียน โดยล่าสุดเลขาธิการ กกอ.ได้ส่งหนังสือเพื่อให้ผมชี้แจงกรณีมีผู้ร้องเรียน ถึงความไม่ชอบมาพากลในการสอบสวนเรื่องดังกล่าว โดยมีการกล่าวหาว่าผมถูกซื้อตัว ทำให้ผลการสอบสวนไม่ตรงตามความจริง รวมถึงคุณสมบัติต่างๆ ว่าไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนฯ เพราะไม่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านอุดมศึกษา ซึ่งข้อกล่าวหาว่าผมถูกซื้อตัวนั้นถือว่าร้ายแรงมาก แต่ก็คงจะไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีใดๆ เพราะเข้าใจว่าการทำงานลักษณะดังกล่าว ก็จะต้องไปกระทบทำให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย แต่ก็ถือว่าเราดำเนินการไปตามขั้นตอนกฎหมาย และพิจารณาตามเอกสารหลักฐาน ยืนยันว่าไม่เคยทำอย่างที่ถูกกล่าวหา และเข้ามาทำหน้าที่นี้เพราะถูกแต่งตั้ง ไม่ใช่มาทำเอง และคงจะทำเรื่องชี้แจงต่อนายอภิชาติ ไปตามความจริง ” นายพิษณุ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผลการสอบสวนการทุจริตของคณะกรรมการสอบสวนฯ เบื้องต้นไม่พบหลักฐานว่า นายศุภชัย มีการเบิกจ่ายเงินโครงการก่อสร้างอาคารวิทยพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ มมส.วงเงิน 88 ล้านบาท เพราะไม่มีลายเซ็นของนายศุภชัยในการจ่ายเช็คต่างๆ มีอย่างเดียวที่มีลายเซ็นนายศุภชัย คือขั้นตอนการเซ็นสัญญาก่อสร้าง แต่ผู้ที่เซ็นเช็คจ่ายเงินคือผู้ที่ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายอำนวยการของ มมส.ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ความผิดของ นายศุภชัย จึงอาจจะยังไม่ถึงขั้นวินัยร้ายแรงหรือทุจริต แต่อาจจะเป็นความผิดสถานเบาฐานสะเพร่า หรือประมาทเลินเล่อในหน้าที่เท่านั้น ส่วนกรณีมีผู้กล่าวหาว่ามีการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษอธิการบดี โดยใช้เงินรายได้ของมหาวิทยาลัย ให้แก่นายศุภชัย โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หรือกฎหมายกำหนดนั้น คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า โดย พ.ร.บ.ของมหาวิทยาลัย สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจในการจ่ายค่าตอบแทนอธิการบดีได้ ดังนั้นกรณีนี้จึงถือว่าไม่มีความผิด
ขณะที่ นายศุภชัย กล่าวว่า เท่าที่ทราบผลการสอบสวนน่าจะสามารถตัดสินได้ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนผลสรุปว่าใครผิดก็ว่าไปตามผิด
วันนี้ (27 ส.ค.) นายพิษณุ ตุลสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนความผิดทางวินัยร้ายแรง นายศุภชัย สมัปปิโต รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) และผู้เกี่ยวข้อง กรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้มูลเรื่องการทุจริตในการเบิกจ่ายเงินโครงการก่อสร้างอาคารวิทยพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ มมส.วงเงิน 88 ล้านบาท มีพฤติการณ์ไม่ชอบด้วยระเบียบ กฎหมาย หรือมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงิน หรือทรัพย์สินของราชการ และกรณีร้องเรียนกล่าวหาการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษอธิการบดี โดยใช้เงินรายได้ ให้แก่ นายศุภชัย โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หรือกฎหมายกำหนด ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า นายศุภชัยมีพฤติการณ์น่า เชื่อว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ว่า ตามที่คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้จัดทำบันทึกการแจ้งการรับทราบข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาแบบ สว.3 ส่งให้ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวรับทราบข้อกล่าวหารับทราบข้อกล่าวหาแล้วจำนวน 4 ราย ได้แก่ 1.นายศุภชัย 2.นายปิยพันธ์ แสนทวีสุข รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิตและพัฒนาองค์กร ในฐานะอดีตรองอธิการบดีฝ่ายอำนวยการ มมส.หัวหน้างานพัสดุ และรักษาการผู้อำนวยการกองคลัง และ เจ้าหน้าที่พัสดุ นั้น ขณะนี้ทั้ง 4 รายได้ส่งเอกสารหลักฐานเพื่อแก้ข้อกล่าวหามายังคณะกรรมการสอบสวนฯ แล้วซึ่งคณะกรรมการสอบสวนฯ จะประชุมเพื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่ผู้ถูกกล่าวหาได้เสนอมา ในวันที่ 28 ส.ค.นี้ ส่วนการพิจารณาจะเป็นไปในทิศทางใดนั้นตนยังไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน โดยจะเร่งสรุปผลแล้วส่งรายงานให้นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) รับทราบต่อไป
“ถือว่ากระบวนการสอบสวนเรื่องปัญหาการทุจริตของ มมส.ดำเนินการไปได้ค่อนข้างเร็ว การดำเนินการต่างๆ ทำไปตามขั้นตอนกฎหมายทุกอย่าง แต่ผมก็ยังถูกร้องเรียน โดยล่าสุดเลขาธิการ กกอ.ได้ส่งหนังสือเพื่อให้ผมชี้แจงกรณีมีผู้ร้องเรียน ถึงความไม่ชอบมาพากลในการสอบสวนเรื่องดังกล่าว โดยมีการกล่าวหาว่าผมถูกซื้อตัว ทำให้ผลการสอบสวนไม่ตรงตามความจริง รวมถึงคุณสมบัติต่างๆ ว่าไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนฯ เพราะไม่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านอุดมศึกษา ซึ่งข้อกล่าวหาว่าผมถูกซื้อตัวนั้นถือว่าร้ายแรงมาก แต่ก็คงจะไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีใดๆ เพราะเข้าใจว่าการทำงานลักษณะดังกล่าว ก็จะต้องไปกระทบทำให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย แต่ก็ถือว่าเราดำเนินการไปตามขั้นตอนกฎหมาย และพิจารณาตามเอกสารหลักฐาน ยืนยันว่าไม่เคยทำอย่างที่ถูกกล่าวหา และเข้ามาทำหน้าที่นี้เพราะถูกแต่งตั้ง ไม่ใช่มาทำเอง และคงจะทำเรื่องชี้แจงต่อนายอภิชาติ ไปตามความจริง ” นายพิษณุ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผลการสอบสวนการทุจริตของคณะกรรมการสอบสวนฯ เบื้องต้นไม่พบหลักฐานว่า นายศุภชัย มีการเบิกจ่ายเงินโครงการก่อสร้างอาคารวิทยพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ มมส.วงเงิน 88 ล้านบาท เพราะไม่มีลายเซ็นของนายศุภชัยในการจ่ายเช็คต่างๆ มีอย่างเดียวที่มีลายเซ็นนายศุภชัย คือขั้นตอนการเซ็นสัญญาก่อสร้าง แต่ผู้ที่เซ็นเช็คจ่ายเงินคือผู้ที่ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายอำนวยการของ มมส.ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ความผิดของ นายศุภชัย จึงอาจจะยังไม่ถึงขั้นวินัยร้ายแรงหรือทุจริต แต่อาจจะเป็นความผิดสถานเบาฐานสะเพร่า หรือประมาทเลินเล่อในหน้าที่เท่านั้น ส่วนกรณีมีผู้กล่าวหาว่ามีการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษอธิการบดี โดยใช้เงินรายได้ของมหาวิทยาลัย ให้แก่นายศุภชัย โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หรือกฎหมายกำหนดนั้น คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า โดย พ.ร.บ.ของมหาวิทยาลัย สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจในการจ่ายค่าตอบแทนอธิการบดีได้ ดังนั้นกรณีนี้จึงถือว่าไม่มีความผิด
ขณะที่ นายศุภชัย กล่าวว่า เท่าที่ทราบผลการสอบสวนน่าจะสามารถตัดสินได้ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนผลสรุปว่าใครผิดก็ว่าไปตามผิด