สธ.เตรียมปลดล็อก 7 วิชาชีพด้านสุขภาพ ขอรับใบอนุญาตเข้าทำงานใน 10 ประเทศอาเซียนได้เสรี เพิ่มเติมจากแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล พร้อมอีก 2 ศาสตร์ทั้งการตรวจวัดสายตาและการจัดกระดูก ตั้งนายกแพทยสภาเป็นประธานคณะทำงานกำหนดคุณสมบัติทางวิชาชีพ
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดการสัมมนาผู้บริหาร บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสถานบริการสุขภาพภาครัฐและเอกชน ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และผู้แทนด้านสาธารณสุขจากกัมพูชา เพื่อชี้แจงนโยบายและเตรียมความพร้อมสถานบริการสุขภาพเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ว่า การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า ในด้านสุขภาพจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบ ทั้งด้านบริการการแพทย์ การควบคุมมาตรฐานบริการสุขภาพ สินค้าสุขภาพต่างๆ การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานกำลังคน โดยเฉพาะเรื่องภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ จุดที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก่อนพื้นที่อื่นๆ คือพื้นที่แนวชายแดน ประชาชนจะเดินทางเข้า-ออกอย่างสะดวก โดยเฉพาะบริการทางการแพทย์ของประเทศไทย ได้รับการยอมรับว่ามีศักยภาพสูงในกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งการบริการส่งเสริมสุขภาพ เช่น สปา นวดแผนไทย ธุรกิจความงามด้วย
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ สธ.ได้จัดทำข้อตกลงอาเซียนในเรื่องคุณสมบัติทางวิชาชีพ (MRA : Mutual Recognition Arrangement) เพื่ออำนวยความสะดวกในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของบุคลากรด้านสุขภาพ ได้ลงนามแล้ว 3 สาขาวิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล ทั้งนี้ จะเพิ่มอีก 7 สาขาวิชาชีพ ได้แก่ 1.การแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมาย 2.กิจกรรมบำบัด 3.เทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก 4.รังสีเทคนิค 5.จิตวิทยาคลินิก 6.กายอุปกรณ์ และ 7.การแพทย์แผนจีน รวมถึงเพิ่มอีก 2 ศาสตร์ ได้แก่ ทัศนมาตรศาสตร์ หรือผู้ที่ประกอบวิชาชีพด้านการตรวจวัดสายตา และศาสตร์ไคโรแพรคติกจัดกระดูก ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานความปลอดภัย ทั้งนี้ คณะทำงานจัดทำข้อตกลงอาเซียนในเรื่องคุณสมบัติทางวิชาชีพเวชกรรมในกลุ่ม 10 ประเทศ มี นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เป็นประธานคณะทำงาน
“ในด้านมาตรฐานของสถานพยาบาลในไทย ทั้งสังกัดรัฐและเอกชน สธ.ได้เร่งพัฒนาให้ทุกแห่งต้องผ่านเกณฑ์ที่จำเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1.ความปลอดภัย 2.ความสะอาดสถานที่ 3.คุณภาพมาตรฐานเครื่องมือบริการทางการแพทย์ต้องมีประสิทธิภาพ มีการสอบเทียบความเที่ยงตรงของเครื่องมือแพทย์ตามมาตรฐานสากล มีความพร้อมให้บริการ ทั้งภาวะปกติและฉุกเฉิน และ 4.ต้องมีระบบให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน สร้างพฤติกรรมการมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย ให้ความรู้การปฏิบัติตัวหลังเจ็บป่วย เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน และมาตรฐานด้านการรักษาพยาบาล ในปี 2556 มีโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ที่ผ่านเกณฑ์แล้ว 152 แห่ง โดยมีเป้าหมายพัฒนาให้ได้มาตรฐานครบ 100 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดการสัมมนาผู้บริหาร บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสถานบริการสุขภาพภาครัฐและเอกชน ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และผู้แทนด้านสาธารณสุขจากกัมพูชา เพื่อชี้แจงนโยบายและเตรียมความพร้อมสถานบริการสุขภาพเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ว่า การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า ในด้านสุขภาพจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบ ทั้งด้านบริการการแพทย์ การควบคุมมาตรฐานบริการสุขภาพ สินค้าสุขภาพต่างๆ การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานกำลังคน โดยเฉพาะเรื่องภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ จุดที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก่อนพื้นที่อื่นๆ คือพื้นที่แนวชายแดน ประชาชนจะเดินทางเข้า-ออกอย่างสะดวก โดยเฉพาะบริการทางการแพทย์ของประเทศไทย ได้รับการยอมรับว่ามีศักยภาพสูงในกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งการบริการส่งเสริมสุขภาพ เช่น สปา นวดแผนไทย ธุรกิจความงามด้วย
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ สธ.ได้จัดทำข้อตกลงอาเซียนในเรื่องคุณสมบัติทางวิชาชีพ (MRA : Mutual Recognition Arrangement) เพื่ออำนวยความสะดวกในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของบุคลากรด้านสุขภาพ ได้ลงนามแล้ว 3 สาขาวิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล ทั้งนี้ จะเพิ่มอีก 7 สาขาวิชาชีพ ได้แก่ 1.การแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมาย 2.กิจกรรมบำบัด 3.เทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก 4.รังสีเทคนิค 5.จิตวิทยาคลินิก 6.กายอุปกรณ์ และ 7.การแพทย์แผนจีน รวมถึงเพิ่มอีก 2 ศาสตร์ ได้แก่ ทัศนมาตรศาสตร์ หรือผู้ที่ประกอบวิชาชีพด้านการตรวจวัดสายตา และศาสตร์ไคโรแพรคติกจัดกระดูก ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานความปลอดภัย ทั้งนี้ คณะทำงานจัดทำข้อตกลงอาเซียนในเรื่องคุณสมบัติทางวิชาชีพเวชกรรมในกลุ่ม 10 ประเทศ มี นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เป็นประธานคณะทำงาน
“ในด้านมาตรฐานของสถานพยาบาลในไทย ทั้งสังกัดรัฐและเอกชน สธ.ได้เร่งพัฒนาให้ทุกแห่งต้องผ่านเกณฑ์ที่จำเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1.ความปลอดภัย 2.ความสะอาดสถานที่ 3.คุณภาพมาตรฐานเครื่องมือบริการทางการแพทย์ต้องมีประสิทธิภาพ มีการสอบเทียบความเที่ยงตรงของเครื่องมือแพทย์ตามมาตรฐานสากล มีความพร้อมให้บริการ ทั้งภาวะปกติและฉุกเฉิน และ 4.ต้องมีระบบให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน สร้างพฤติกรรมการมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย ให้ความรู้การปฏิบัติตัวหลังเจ็บป่วย เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน และมาตรฐานด้านการรักษาพยาบาล ในปี 2556 มีโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ที่ผ่านเกณฑ์แล้ว 152 แห่ง โดยมีเป้าหมายพัฒนาให้ได้มาตรฐานครบ 100 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558” รมว.สาธารณสุข กล่าว