กทม.คาดเริ่มโครงการแก้จราจรรอบ รพ.ศิริราช ได้ปลายปีนี้ รับแก้รถติดยาก ต้องเพิ่มศักยภาพจุดตัดเพื่อระบายรถ ชี้ลดปัญหาเวนคืน
นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่างถึงความคืบหน้าโครงการแก้ไขปัญหาจราจรรอบโรงพยาบาลศิริราชตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรโดยรอบโรงพยาบาลศิริราช ถนนอรุณอัมรินทร์ บ้านช่างหล่อ ว่าขณะนี้ กทม.ได้ศึกษาออกแบบการก่อสร้างเสร็จแล้ว โดย กทม.ได้รับงบประมาณการก่อสร้างจากรัฐบาล 100 เปอร์เซ็นต์ ภายใต้งบประมาณจำนวน 1,630 ล้านบาท โดย กทม.อยู่ระหว่างรออนุมัติงบประมาณอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล เพื่อเข้าสู่กระบวนการสรรหาผู้รับจ้างต่อไป ทั้งนี้โครงการดังกล่าวไม่มีพื้นที่ที่ต้องเวนคืนจากประชาชนแต่อย่างใด เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของหน่วยงานราชการ อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย กองทัพเรือ ซึ่งจะจ่ายเพียงแค่ค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างให้กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ประมาณ 300 ล้านบาทเท่านั้น โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพฯ มีถนนเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนรถยนต์เท่านั้น แต่ตามมาตรฐานจะต้องมีพื้นที่ถนนไม่น้อยกว่า 18-25 เปอร์เซ็นต์ ยังขาดพื้นที่ถนนอีกเป็นจำนวนมาก แต่การเพิ่มพื้นที่ถนนถือเป็นเรื่องยากเช่นกัน ฉะนั้น กทม.จึงจะต้องหาแนวทางอื่นในการแก้ไขปัญหา เบื้องต้นจะต้องมีการเพิ่มขีดความสามารถของจุดตัดบนถนนเส้นต่างๆ ก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ง่ายที่สุด มีการเวนคืนที่ดินน้อย และชาวบ้านได้รับผลกระทบไม่มาก
โดย กทม.มีแผนพัฒนาถนนวงแหวนชั้นใน คือถนนรัชดาภิเษก จำนวน 17 แห่ง จะมีการสร้างอุโมงค์ลอดทางแยก หรือสะพานข้ามแยก เพื่อให้ปริมาณรถยนต์กระจายตัว นอกจากนี้ กทม.จะแก้ไขปัญหาคอขวดที่บริเวณถนนอโศกมนตรี ซึ่งจากการศึกษาอาจจะทำเป็นทางยกระดับ 4 ช่องจราจร ระยะทาง 4 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มช่องจราจรรองรับอัตรารถยนต์ที่ผ่านกว่า 1 แสนคันต่อวัน อีกทั้งจะต้องแก้ไขปัญหาจุดตัดของถนนวงแหวนชั้นนอก บริเวณถนนกาญจนาภิเษก และวงแหวนชั้นกลางที่ถนนรัตนาธิเบศร์ ซึ่งหากทำได้จะสามารถระบายการจราจรได้เป็นอย่างดี
นายจุมพล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กทม.อยู่ระหว่างการศึกษาออกแบบเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของถนนเพชรเกษม ซึ่งมีจุดตัดหลายจุด อาทิ ถนนพุทธมณฑลสาย 1-4 ตนคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการไม่มากนัก หากแล้วเสร็จอย่างน้อยก็สามารถช่วยลดปัญหาจราจรได้ระดับหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหางบประมาณในการดำเนินการ
นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่างถึงความคืบหน้าโครงการแก้ไขปัญหาจราจรรอบโรงพยาบาลศิริราชตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรโดยรอบโรงพยาบาลศิริราช ถนนอรุณอัมรินทร์ บ้านช่างหล่อ ว่าขณะนี้ กทม.ได้ศึกษาออกแบบการก่อสร้างเสร็จแล้ว โดย กทม.ได้รับงบประมาณการก่อสร้างจากรัฐบาล 100 เปอร์เซ็นต์ ภายใต้งบประมาณจำนวน 1,630 ล้านบาท โดย กทม.อยู่ระหว่างรออนุมัติงบประมาณอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล เพื่อเข้าสู่กระบวนการสรรหาผู้รับจ้างต่อไป ทั้งนี้โครงการดังกล่าวไม่มีพื้นที่ที่ต้องเวนคืนจากประชาชนแต่อย่างใด เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของหน่วยงานราชการ อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย กองทัพเรือ ซึ่งจะจ่ายเพียงแค่ค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างให้กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ประมาณ 300 ล้านบาทเท่านั้น โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพฯ มีถนนเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนรถยนต์เท่านั้น แต่ตามมาตรฐานจะต้องมีพื้นที่ถนนไม่น้อยกว่า 18-25 เปอร์เซ็นต์ ยังขาดพื้นที่ถนนอีกเป็นจำนวนมาก แต่การเพิ่มพื้นที่ถนนถือเป็นเรื่องยากเช่นกัน ฉะนั้น กทม.จึงจะต้องหาแนวทางอื่นในการแก้ไขปัญหา เบื้องต้นจะต้องมีการเพิ่มขีดความสามารถของจุดตัดบนถนนเส้นต่างๆ ก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ง่ายที่สุด มีการเวนคืนที่ดินน้อย และชาวบ้านได้รับผลกระทบไม่มาก
โดย กทม.มีแผนพัฒนาถนนวงแหวนชั้นใน คือถนนรัชดาภิเษก จำนวน 17 แห่ง จะมีการสร้างอุโมงค์ลอดทางแยก หรือสะพานข้ามแยก เพื่อให้ปริมาณรถยนต์กระจายตัว นอกจากนี้ กทม.จะแก้ไขปัญหาคอขวดที่บริเวณถนนอโศกมนตรี ซึ่งจากการศึกษาอาจจะทำเป็นทางยกระดับ 4 ช่องจราจร ระยะทาง 4 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มช่องจราจรรองรับอัตรารถยนต์ที่ผ่านกว่า 1 แสนคันต่อวัน อีกทั้งจะต้องแก้ไขปัญหาจุดตัดของถนนวงแหวนชั้นนอก บริเวณถนนกาญจนาภิเษก และวงแหวนชั้นกลางที่ถนนรัตนาธิเบศร์ ซึ่งหากทำได้จะสามารถระบายการจราจรได้เป็นอย่างดี
นายจุมพล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กทม.อยู่ระหว่างการศึกษาออกแบบเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของถนนเพชรเกษม ซึ่งมีจุดตัดหลายจุด อาทิ ถนนพุทธมณฑลสาย 1-4 ตนคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการไม่มากนัก หากแล้วเสร็จอย่างน้อยก็สามารถช่วยลดปัญหาจราจรได้ระดับหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหางบประมาณในการดำเนินการ
