สสส.เผยสถิติงดเหล้าเข้าพรรษา มีนักดื่มทำได้เฉลี่ยปีละ 30% ปี 2555 ละเลิกดื่มเหล้าได้กว่า 5 ล้านคน ประหยัดค่าใช้จ่ายถึง 2.2 หมื่นล้านบาท จับมือเครือข่ายงดเหล้าปล่อยนักรณรงค์กว่า 2,000 คน ชวนคนไทยเอาชนะใจตัวเอง เลิกเหล้า เล็งขยายการรณรงค์สู่ อปท.ด้าน รบ.วอนทุกภาคส่วนปฏิบัติตาม กม.เหล้า
วันนี้ (20 ก.ค.) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงาน “รวมพล คนสัญญางดเหล้าเข้าพรรษา เพื่อตนเอง และครอบครัว” พร้อมกล่าวนำปฏิญาณงดเหล้าเข้าพรรษา ซึ่งจัดโดยสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีร่วมรณรงค์อีก 9 เครือข่าย ว่า รัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรีให้วันเข้าพรรษาของทุกปี เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2551 และเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้ทุกภาคส่วนร่วมรณรงค์ในโอกาสวันงดดื่มสุราแห่งชาติ รวมถึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด จัดพิธีลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษาแก่ประชาชน พร้อมเน้นความสำคัญเรื่องการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดให้วันพระใหญ่ การห้ามจำหน่ายให้กับเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี การห้ามจำหน่ายในเวลาที่กำหนด และการห้ามดื่มห้ามขายในสถานที่ต่างๆ และขอให้ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
“ขอชื่นชมคณะทำงาน นักรณรงค์ที่จะร่วมมือกัน เชิญชวนให้บุคคลใกล้ชิด สมาชิกในชุมชน ประชาชนทั่วไป ให้ ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และร่วมกันเฝ้าระวังบังคับใช้กฎหมาย นอกจากจะได้รับความสุขจากการเสียสละเพื่อรณรงค์ให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการลดปัญหาทางสังคม ลดจำนวนอุบัติเหตุ ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เป็นผลดีต่อสังคมโดยรวม” นายสันติ กล่าว
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ รองผู้จัดการ สสส.กล่าวว่า สสส.สนับสนุนการรณรงค์งดเหล้ามาตั้งแต่ปี 2546 โดยผู้งดเหล้าเข้าพรรษาตลอด 3 เดือนเฉลี่ย ร้อยละ 30 และลดจำนวนการดื่ม/เวลาการดื่ม ร้อยละ 20 ซึ่งผลการรณรงค์ล่าสุดในปี 2555 พบว่า มีผู้งดเหล้าตลอด 3 เดือน จำนวน 5,389,000 คน คิดเป็นร้อยละ 31.7 และผู้ที่ลดจำนวนการดื่ม/เวลาการดื่ม จำนวน 7,157,000 คน คิดเป็นร้อยละ 42.1 เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายที่ประหยัดค่าเหล้าในช่วงเข้าพรรษามากถึง 22,421 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ได้การคำนวณค่าความสูญเสียทางสังคม เศรษฐกิจ จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในแต่ละปี สูงถึง 1.5 แสนล้านบาท ผลกระทบที่เกิดขึ้นธนาคารโลกจึงได้ให้คำแนะนำแก่ประเทศต่างๆ ให้ควบคุมสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดต้นทุนความสูญเสีย มากกว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
“สสส.ยังคงสนับสนุนการรณรงค์ให้กับภาคีเครือข่ายทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการดำเนินงานในระดับจังหวัด ตำบล ชุมชน หมู่บ้าน มากขึ้น มีการบริการของศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาสุรา หมายเลขโทรศัพท์ 1413 สำหรับประชาชนที่อยากจะลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการเผยแพร่สปอตรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษาทุกๆ ปี ทำให้เกิดกระแสการงดเหล้าเข้าพรรษากันอย่างกว้างขวาง” ดร.สุปรีดา กล่าว
นายประวุฒิ พิพิธสุขสันต์ รองประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนขับรถแท็กซี กล่าวว่า การจัดงานรวมพลในครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลตามมติคณะรัฐมนตรี เนื่องในวันงดดื่มสุราแห่งชาติ โดยมีการร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อประสานพลังนักรณรงค์ให้ร่วมกันไปเชิญชวนให้ครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง ในสถานที่ทำงาน ในชุมชน ให้ตั้งใจสัญญาเพื่อเอาชนะใจตนเอง ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2554 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากถึง 17 ล้านคน ในจำนวนนี้เกือบ 4 ล้านคนอยู่ในขั้นเกิดปัญหาจากดื่มเหล้า และติดเหล้า จึงต้องเร่งสร้างความร่วมมือมากยิ่งขึ้น เพราะยังพบปัญหาที่มีสาเหตุมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น อุบัติเหตุ อาชญากรรม การทะเลาะวิวาท ปัญหาในครอบครัว ปัญหาในเด็กเยาวชน
สำหรับภาคีร่วมรณรงค์ 9 เครือข่าย ประกอบด้วย มูลนิธิคนขับแท็กซี่ เครือข่ายแท็กซี่สามล้อไทยปลอดภัยใสสะอาด เครือข่ายสี่ล้อเล็ก เครือข่ายวินมอเตอร์ไซค์ เครือข่ายจักรยาน เครือข่ายสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายชุมชน และเยาวชนงดเหล้ากรุงเทพมหานคร สมาพันธ์ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย และ กรุงเทพมหานคร โดยการรณรงค์ในครั้งนี้ มีนักรณรงค์ นักเดิน-วิ่ง เพื่อสุขภาพกว่า 2,000 คน และขบวนรถโดยสารสาธารณะ 556 คัน ร่วมรณรงค์และเชิญชวนคนไทยทั่วประเทศงดเหล้าเข้าพรรษาร่วมกัน โดยการสัญญางดเหล้าเข้าพรรษา ร่วมกันทำความดีเพื่อตนเอง เพื่อครอบครัวและถวายความดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเนื่องในวาระงานฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก