สปสช.เผยสัปดาห์แรก ปชช.3 กลุ่มเสี่ยงได้รับฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีแล้ว 7 หมื่นราย พบปทุมธานีฉีดสูงที่สุด ด้านกรมควบคุมโรคขอยืมวัคซีนฉีดให้บุคลากรกลุ่มเสี่ยง ยันไม่ให้กระทบสิทธิประชาชน เหตุอยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อ
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผลการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ประจำปี 2556 ในประชาชน 3 กลุ่มเสี่ยงฟรี ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 โรค ทุกกลุ่มอายุและทุกสิทธิการรักษา 2.ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปทุกคน และ 3.บุคลากรทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่มีความเสี่ยง รวมทั้งหมด 3,460,000 คน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ 27 พ.ค.-ก.ย.2556 ซึ่งการจัดซื้อวัคซีนนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ สปสช.ดำเนินการจัดซื้อ 3,000,000 โดส และกรมควบคุมโรคดำเนินการจัดซื้อ 460,000 โดส พบว่า ในสัปดาห์ที่ 1 (27 พ.ค.-8 มิ.ย.) ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับวัคซีนแล้ว 72,360 ราย จังหวัดที่มีผลการดำเนินงานอันดับหนึ่ง คือ ปทุมธานี รองลงมาคือ เพชรบูรณ์ และ ภูเก็ต ตามลำดับ
“ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ได้จากการลงบันทึกของหน่วยบริการเข้ามาที่ สปสช.แต่คาดว่าผลการดำเนินการจริงจะมากกว่านี้ เพราะยังมีข้อมูลจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ลงบันทึกของหน่วยบริการ เนื่องจากเป็นสัปดาห์ที่ 1 ของการให้บริการ และเหลือเวลาอีก 4 เดือนในการดำเนินการให้ครบตามกลุ่มเป้าหมาย” เลขาธิการ สปสช.กล่าว
นพ.วินัย กล่าวอีกว่า การฉีดวัคซีนให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยง ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อของกรมควบคุมโรค ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบุคลากรกลุ่มเสี่ยงได้รับการส่งเสริมป้องกันโรคอย่างทันกาล กรมควบคุมโรคจึงขอยืมวัคซีนจาก สปสช.ให้หน่วยบริการใช้ฉีดแก่บุคลากรด้วย ซึ่งจะไม่กระทบถึงสิทธิและการเข้าถึงบริการวัคซีนของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เพราะจากจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีน 72,360 รายนั้น มีบุคลากรทางแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว 7,443 ราย ทั้งนี้ วัคซีนที่ฉีดเป็นชนิดที่ทำจากเชื้อตาย รวม 3 สายพันธุ์ คือ ชนิด A H1N1 ชนิด A H3N2 และชนิด B ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบบ่อยในไทยและทั่วโลกและวัคซีนยังใช้ได้ผลดี เนื่องจากเชื้อไม่มีปัญหากลายพันธุ์ แต่วัคซีนชนิดนี้ไม่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดนกทั้งสายพันธุ์เก่าและใหม่ได้ สำหรับในปี 2555 สปสช.ให้บริการครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ถึงร้อยละ 36 เป็นจำนวน 2.7 ล้านคน ภายใต้วงเงิน 470 ล้านบาท โดยมีอัตราการสูญเสียวัคซีนร้อยละ 6 เท่านั้น
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผลการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ประจำปี 2556 ในประชาชน 3 กลุ่มเสี่ยงฟรี ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 โรค ทุกกลุ่มอายุและทุกสิทธิการรักษา 2.ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปทุกคน และ 3.บุคลากรทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่มีความเสี่ยง รวมทั้งหมด 3,460,000 คน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ 27 พ.ค.-ก.ย.2556 ซึ่งการจัดซื้อวัคซีนนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ สปสช.ดำเนินการจัดซื้อ 3,000,000 โดส และกรมควบคุมโรคดำเนินการจัดซื้อ 460,000 โดส พบว่า ในสัปดาห์ที่ 1 (27 พ.ค.-8 มิ.ย.) ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับวัคซีนแล้ว 72,360 ราย จังหวัดที่มีผลการดำเนินงานอันดับหนึ่ง คือ ปทุมธานี รองลงมาคือ เพชรบูรณ์ และ ภูเก็ต ตามลำดับ
“ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ได้จากการลงบันทึกของหน่วยบริการเข้ามาที่ สปสช.แต่คาดว่าผลการดำเนินการจริงจะมากกว่านี้ เพราะยังมีข้อมูลจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ลงบันทึกของหน่วยบริการ เนื่องจากเป็นสัปดาห์ที่ 1 ของการให้บริการ และเหลือเวลาอีก 4 เดือนในการดำเนินการให้ครบตามกลุ่มเป้าหมาย” เลขาธิการ สปสช.กล่าว
นพ.วินัย กล่าวอีกว่า การฉีดวัคซีนให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยง ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อของกรมควบคุมโรค ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบุคลากรกลุ่มเสี่ยงได้รับการส่งเสริมป้องกันโรคอย่างทันกาล กรมควบคุมโรคจึงขอยืมวัคซีนจาก สปสช.ให้หน่วยบริการใช้ฉีดแก่บุคลากรด้วย ซึ่งจะไม่กระทบถึงสิทธิและการเข้าถึงบริการวัคซีนของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เพราะจากจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีน 72,360 รายนั้น มีบุคลากรทางแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว 7,443 ราย ทั้งนี้ วัคซีนที่ฉีดเป็นชนิดที่ทำจากเชื้อตาย รวม 3 สายพันธุ์ คือ ชนิด A H1N1 ชนิด A H3N2 และชนิด B ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบบ่อยในไทยและทั่วโลกและวัคซีนยังใช้ได้ผลดี เนื่องจากเชื้อไม่มีปัญหากลายพันธุ์ แต่วัคซีนชนิดนี้ไม่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดนกทั้งสายพันธุ์เก่าและใหม่ได้ สำหรับในปี 2555 สปสช.ให้บริการครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ถึงร้อยละ 36 เป็นจำนวน 2.7 ล้านคน ภายใต้วงเงิน 470 ล้านบาท โดยมีอัตราการสูญเสียวัคซีนร้อยละ 6 เท่านั้น