ผุดโปรเจกต์ยักษ์ ! องค์การค้าฯ เล็งจับมือนักลงทุนจีนสร้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตจำหน่ายในประเทศ เน้นผลิตแท็บเล็ตราคากลางๆ สบายกระเป๋าเน้นกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด “สมมาตร” การันตี องค์การค้าฯ ไม่ต้องควักสักบาทแค่จัดหาสถานที่ ส่วนภาระอื่นๆ เครื่องจักร บุคลากร เป็นของผู้ลงทุนจากจีน ด้านบอร์ด สกสค.ดับฝันระบุแผนธุรกิจไม่ชัดเจนตีกลับพร้อมตั้งกรรมการศึกษารู้ผลภายใน 3 เดือน
นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ว่า ในการประชุมบอร์ด สกสค.วานนี้ (18 เม.ย.) นายสมมาตร มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การค้า ของ สกสค.ได้เสนอแผนธุรกิจร่วมทุนกับผู้ประกอบการจากประเทศจีน เพื่อเปิดโรงงานผลิตแท็บเล็ตสำหรับจำหน่ายในประเทศไทย ทั้งนี้ เพราะองค์การค้าฯ เล็งเห็นว่า ในอนาคตหนังสือเรียนจะถูกลดความสำคัญลง และถูกแทนที่ด้วยสื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่อย่างแท็บเล็ต จึงต้องการเปิดตลาดทางด้านแท็บเล็ตเต็มตัว
นางพนิตา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตามแผนธุรกิจที่องค์การค้าฯ เสนอนั้น ระบุว่าองค์การค้าฯ จะเป็นผู้จัดหาสถานที่ให้ซึ่งเบื้องต้นองค์การค้าฯ ได้เสนอขอใช้ที่ดินโรงพิมพ์องค์การค้าฯ ลาดพร้าวมาปรับปรุงเป็นโรงงานผลิตแท็บเล็ต ขณะที่นักลงทุนจากจีนจะเป็นผู้ออกทุนในการก่อสร้างโรงงานทั้งหมด โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก คือ นักเรียน เพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1ไปบ้างแล้วแต่ก็ยังแจกไม่ครบทุกชั้นปี ยังมีนักเรียนจำนวนมากที่ไม่มีแท็บเล็ตใช้
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าแผนการทำธุรกิจในการสร้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตขององค์การค้าฯ นั้นยังขาดความชัดเจนและขาดรายละเอียดอยู่ในหลายเรื่องโดยเฉพาะไม่มีแผนบริหารความเสี่ยงจึงยังไม่อนุมัติโครงการดังกล่าว และให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้ก่อน มีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 เป็นตัวแทนจาก สกสค.และองค์การค้าฯ ส่วนที่ 2 ตัวแทนจากองค์กรหลักต่างๆ รวมถึงตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานปลัด ศธ.และส่วนที่ 3 องค์กรภายนอก เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)
“บอร์ดได้ให้เวลาคณะทำงานต่างๆ ไปศึกษาเรื่องนี้เป็นเวลา 3 เดือน โดยเฉพาะศึกษาในประเด็นความคุ้มค่าในการลงทุน แล้วให้นำผลการศึกษามาหารือในบอร์ด สกสค.อีกครั้ง แล้วบอร์ดจะตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลดังกล่าวว่าสมควรไฟเขียนให้โครงการหรือไม่ เพราะเสียงในที่ประชุมวันนี้บางส่วนเห็นว่าองค์การค้าฯ ควรจะเป็นตัวแทนจำหน่ายมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่องค์การค้าฯ ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม ใช้ร้านค้าต่างๆ กว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศที่เป็นตัวแทนจำหน่ายองค์การค้าฯ มาเป็นที่ระบายสินค้าได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตจริงๆ จะต้องเปิดกว้างหาผู้ประกอบการที่ให้เงื่อนไขที่ดีที่สุดมาร่วมลงทุนโดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ประกอบการจากจีนที่องค์การค้าฯ ได้ไปประสานงานไว้เพราะการร่วมทุนกับต่างชาติเป็นเรื่องที่ยุ่งยากจะต้องดูเรื่องของหลักกฎหมายและต้องเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)” นางพนิตา กล่าว
ด้านนายสมสมาตร กล่าวว่า ตามแผนธุรกิจที่วางไว้นั้น องค์การค้าฯ จะเป็นผู้จัดเตรียมสถานที่ให้ โดยวางแผนดัดแปลงอาคารเหลือใช้ 1 หลังในบริเวณโรงพิมพ์ลาดพร้าวทำเป็นตัวโรงงาน ส่วนผู้ลงทุนจากจีนจะเป็นผู้จัดหาเครื่องจักร วิศวกร บุคลากร และเทคโนโลยีการในการผลิตแท็บเล็ต แต่ส่วนมูลค่าการลงทุนและการแบ่งปันกำไรนั้น ยังไม่ได้มีการกำหนด เพราะต้องรอให้บอร์ด สกสค.ไฟเขียวให้โครงการเดินหน้าได้ก่อน จึงจะสามารถเจรจาในรายละเอียดกับทางผู้ลงทุนได้
“วางแผนไว้ว่า ระยะแรกนั้น จะเป็นการทดลองตลาด เพราะฉะนั้น จะสร้างเป็นโรงงานขนาดกลางก่อน ส่วนตัวผลิตภัณฑ์นั้นอาจมีหลายรุ่นแต่จะเน้นผลิตแท็บเล็ตที่มีราคาปานกลาง ประมาณ 5,000-6,000 บาทต่อเครื่อง เพราะกลุ่มลูกค้าของโครงการนี้ จะเป็นนักเรียน ครูในต่างจังหวัด เพราะยังมีนักเรียน และครูอีกมากที่ยังไม่ได้รับแจกเครื่องแท็บเล็ตจากรัฐบาล และองค์การค้าฯ ก็มีร้านค้าตัวแทนในต่างจังหวัดอยู่แล้ว สามารถใช้เป็นช่องทางในการกระจายสินค้าได้“ นายสมมาตร กล่าวและว่า ขณะนี้ องค์การค้าเตรียมกำลังเตรียมเปิดร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์เพิ่มเติมในโรงเรียนอีกด้วยซึ่งได้สำรวจพื้นที่ไว้แล้วประมาณ 70 โรงและว่า โครงการนี้ไม่มีความเสี่ยงอย่างแน่นอน เพราะองค์การค้า ไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติม แค่ดัดแปลงอาคารที่มีอยู่มาเป็นโรงงาน ภาระการลงทุนจะอยู่ที่นักลงทุนที่จะมาร่วมโครงการ
นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ว่า ในการประชุมบอร์ด สกสค.วานนี้ (18 เม.ย.) นายสมมาตร มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การค้า ของ สกสค.ได้เสนอแผนธุรกิจร่วมทุนกับผู้ประกอบการจากประเทศจีน เพื่อเปิดโรงงานผลิตแท็บเล็ตสำหรับจำหน่ายในประเทศไทย ทั้งนี้ เพราะองค์การค้าฯ เล็งเห็นว่า ในอนาคตหนังสือเรียนจะถูกลดความสำคัญลง และถูกแทนที่ด้วยสื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่อย่างแท็บเล็ต จึงต้องการเปิดตลาดทางด้านแท็บเล็ตเต็มตัว
นางพนิตา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตามแผนธุรกิจที่องค์การค้าฯ เสนอนั้น ระบุว่าองค์การค้าฯ จะเป็นผู้จัดหาสถานที่ให้ซึ่งเบื้องต้นองค์การค้าฯ ได้เสนอขอใช้ที่ดินโรงพิมพ์องค์การค้าฯ ลาดพร้าวมาปรับปรุงเป็นโรงงานผลิตแท็บเล็ต ขณะที่นักลงทุนจากจีนจะเป็นผู้ออกทุนในการก่อสร้างโรงงานทั้งหมด โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก คือ นักเรียน เพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1ไปบ้างแล้วแต่ก็ยังแจกไม่ครบทุกชั้นปี ยังมีนักเรียนจำนวนมากที่ไม่มีแท็บเล็ตใช้
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าแผนการทำธุรกิจในการสร้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตขององค์การค้าฯ นั้นยังขาดความชัดเจนและขาดรายละเอียดอยู่ในหลายเรื่องโดยเฉพาะไม่มีแผนบริหารความเสี่ยงจึงยังไม่อนุมัติโครงการดังกล่าว และให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้ก่อน มีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 เป็นตัวแทนจาก สกสค.และองค์การค้าฯ ส่วนที่ 2 ตัวแทนจากองค์กรหลักต่างๆ รวมถึงตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานปลัด ศธ.และส่วนที่ 3 องค์กรภายนอก เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)
“บอร์ดได้ให้เวลาคณะทำงานต่างๆ ไปศึกษาเรื่องนี้เป็นเวลา 3 เดือน โดยเฉพาะศึกษาในประเด็นความคุ้มค่าในการลงทุน แล้วให้นำผลการศึกษามาหารือในบอร์ด สกสค.อีกครั้ง แล้วบอร์ดจะตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลดังกล่าวว่าสมควรไฟเขียนให้โครงการหรือไม่ เพราะเสียงในที่ประชุมวันนี้บางส่วนเห็นว่าองค์การค้าฯ ควรจะเป็นตัวแทนจำหน่ายมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่องค์การค้าฯ ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม ใช้ร้านค้าต่างๆ กว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศที่เป็นตัวแทนจำหน่ายองค์การค้าฯ มาเป็นที่ระบายสินค้าได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตจริงๆ จะต้องเปิดกว้างหาผู้ประกอบการที่ให้เงื่อนไขที่ดีที่สุดมาร่วมลงทุนโดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ประกอบการจากจีนที่องค์การค้าฯ ได้ไปประสานงานไว้เพราะการร่วมทุนกับต่างชาติเป็นเรื่องที่ยุ่งยากจะต้องดูเรื่องของหลักกฎหมายและต้องเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)” นางพนิตา กล่าว
ด้านนายสมสมาตร กล่าวว่า ตามแผนธุรกิจที่วางไว้นั้น องค์การค้าฯ จะเป็นผู้จัดเตรียมสถานที่ให้ โดยวางแผนดัดแปลงอาคารเหลือใช้ 1 หลังในบริเวณโรงพิมพ์ลาดพร้าวทำเป็นตัวโรงงาน ส่วนผู้ลงทุนจากจีนจะเป็นผู้จัดหาเครื่องจักร วิศวกร บุคลากร และเทคโนโลยีการในการผลิตแท็บเล็ต แต่ส่วนมูลค่าการลงทุนและการแบ่งปันกำไรนั้น ยังไม่ได้มีการกำหนด เพราะต้องรอให้บอร์ด สกสค.ไฟเขียวให้โครงการเดินหน้าได้ก่อน จึงจะสามารถเจรจาในรายละเอียดกับทางผู้ลงทุนได้
“วางแผนไว้ว่า ระยะแรกนั้น จะเป็นการทดลองตลาด เพราะฉะนั้น จะสร้างเป็นโรงงานขนาดกลางก่อน ส่วนตัวผลิตภัณฑ์นั้นอาจมีหลายรุ่นแต่จะเน้นผลิตแท็บเล็ตที่มีราคาปานกลาง ประมาณ 5,000-6,000 บาทต่อเครื่อง เพราะกลุ่มลูกค้าของโครงการนี้ จะเป็นนักเรียน ครูในต่างจังหวัด เพราะยังมีนักเรียน และครูอีกมากที่ยังไม่ได้รับแจกเครื่องแท็บเล็ตจากรัฐบาล และองค์การค้าฯ ก็มีร้านค้าตัวแทนในต่างจังหวัดอยู่แล้ว สามารถใช้เป็นช่องทางในการกระจายสินค้าได้“ นายสมมาตร กล่าวและว่า ขณะนี้ องค์การค้าเตรียมกำลังเตรียมเปิดร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์เพิ่มเติมในโรงเรียนอีกด้วยซึ่งได้สำรวจพื้นที่ไว้แล้วประมาณ 70 โรงและว่า โครงการนี้ไม่มีความเสี่ยงอย่างแน่นอน เพราะองค์การค้า ไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติม แค่ดัดแปลงอาคารที่มีอยู่มาเป็นโรงงาน ภาระการลงทุนจะอยู่ที่นักลงทุนที่จะมาร่วมโครงการ