xs
xsm
sm
md
lg

หมอกควัน “แม่ฮ่องสอน” วิกฤตสุด พบฝุ่นเพิ่มขึ้น 500% เสี่ยงมะเร็ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์วิจัยฯภัยพิบัติ นิด้า เผยวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ “แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่” น่าห่วงสุด หลังพบปริมาณฝุ่นขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน เพิ่มขึ้นมากกว่า 500% หรือ 5 เท่า ส่วนความเข้มข้นสารก่อมะเร็งในฝุ่น “แม่ฮ่องสอน-ลำพูน” เสี่ยงมากสุด จี้ภาครัฐรณรงค์ ปชช.เข้าใจผลกระทบการเผาป่า เพิ่มบทลงโทษและเข้มบังคับใช้กฎหมาย
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
รศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน เพื่อศึกษาความเข้มข้นของปริมาณฝุ่น โดยการเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีจากลักษณะการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดของฝุ่นละอองในบรรยากาศ เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์การเกิดโรคมะเร็งปอด โดยกำหนดระยะเวลาการเก็บตัวอย่างสภาพอากาศในช่วงกรกฎาคม-กันยายน 2555 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤต และช่วงกุมภาพันธ์-เมษายน 2556 หลังเกิดวิกฤติหมอกควัน ได้ผลที่น่าสนใจ ดังนี้ จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่นละอองหลังเกิดวิกฤตหมอกควันเพิ่มขึ้นจากก่อนเกิดวิกฤตมากที่สุด ได้แก่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน โดยเชียงรายมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤต 14.97 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เพิ่มเป็น 91.82 ลบ.ม.หรือเพิ่มขึ้น 513% และแม่ฮ่องสอนมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤต 34.48 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.เพิ่มเป็น 209.85 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.หรือเพิ่มขึ้น 509% รองลงมาได้แก่ พะเยา ที่มีปริมาณฝุ่นละออง 17.73 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.เพิ่มเป็น 99.70 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.หรือเพิ่มขึ้น 465%

รศ.ดร.ศิวัช กล่าวอีกว่า จังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤตเพิ่มสูงขึ้นระดับปานกลาง ได้แก่ ลำพูน น่าน และลำปาง โดยมีค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองในอากาศหลังเกิดวิกฤตหมอกควันเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติคิดเป็น 262% 221% และ 172% ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยได้แก่ อุตรดิตถ์ และแพร่ มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้น 100% และ 90% ตามลำดับ ส่วนเชียงใหม่ มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤตหมอกควันเพิ่มขึ้นในสัดส่วนน้อยที่สุดคือเพิ่มขึ้นเพียง 87% เท่านั้น

“เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่น่าห่วงต่อสถานการณ์หมอกควันในชั้นบรรยากาศที่มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กเพิ่มสูงขึ้นถึง 5 เท่า จากช่วงก่อนเกิดวิกฤต และเมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาเทียบกับค่ามาตรฐานของ US-EPA ซึ่งกำหนดค่าของฝุ่น PM2.5 ควรมีไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.ภายในระยะเวลาการวัดไม่เกิน 24 ชั่วโมงแล้ว จะพบว่าทุกจังหวัดในภาคเหนือตอนบน กำลังประสบกับปัญหาฝุ่นละอองจากหมอกควันอยู่ในขั้นวิกฤตที่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น” รศ.ดร.ศิวัช กล่าว

รศ.ดร.ศิวัช กล่าวด้วยว่า ผลการศึกษาในครั้งนี้ ยังได้ตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารก่อมะเร็ง PAHs ในฝุ่น PM2.5 ในชั้นบรรยากาศของ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ค่าเฉลี่ยของสารก่อมะเร็งรวมทั้ง 9 จุด (Total PAHs) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 613 พิโคกรัมต่อ ลบ.ม. โดยพบว่า แม่ฮ่องสอนมีค่า Total PAHs สูงสุดที่ 3,864 พิโคกรัมต่อ ลบ.ม.รองลงมาได้แก่ ลำพูน มีค่า Total PAHs อยู่ที่ 866 พิโคกรัมต่อ ลบ.ม.ขณะที่แพร่มีค่า Total PAHs ต่ำสุด อยู่ที่ 54 พิโคกรัมต่อ ลบ.ม.

ทั้งนี้ ภาครัฐควรเร่งรณรงค์และสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อหยุดการเผาป่าหรือเศษชีวมวลในที่โล่งแจ้ง และเพิ่มโทษ พร้อมให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดการเผาป่า รวมถึงสร้างความเข้าใจถึงอันตรายจากการสูดดมเอาสารก่อมะเร็งจากการเผาป่าที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น