“พงศ์เทพ” กำชับสภามหาวิทยาลัยมีความโปร่งใสในการสรรหาอธิการบดีหลังช่วงที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียน
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวถึงปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการสรรหาอธิการบดี โดยเฉพาะกรณีที่สภามหาวิทยาลัยพยายาม เสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมเพื่อโปรดเกล้าฯขึ้นเป็นอธิการบดี ว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากโครงสร้างของฝ่ายบริหารและสภามหาวิทยาลัย ซึ่งตามกฎหมายกำหนดที่มาของกรรมการสภามหาวิทยาลัย และบทบาทหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยไว้อย่างชัดเจน รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติในการคัดเลือกผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งอธิการบดีด้วย ดังนั้นถ้าโครงสร้างสภามหาวิทยาลัยมีปัญหา การสรรหาอธิการบดีก็จะมีปัญหาไปด้วย
“ที่ผ่านมาเคยมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และอาจจะเกิดขึ้นอีกคือ คนมีอำนาจ พยายามแก้ไขระเบียบการสรรหาอธิการบดี เพื่อให้ตัวเองได้ดำรงตำแหน่งต่อไป ดังนั้นผู้ที่จะกำกับดูแลกระบวนการสรรหาอธิการบดีได้ดีที่สุดคือสภามหาวิทยาลัย แต่ถ้าสภามหาวิทยาลัยไม่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ไม่รักษาประโยชน์ส่วนร่วม ไม่รักษาประโยชน์ของมหาวิทยาลัย ก็จะเกิดปัญหาได้ ยิ่งหากสภามหาวิทยาลัยไปเข้าข้างฝ่ายบริหาร หรืออยู่ตรงข้ามกับฝ่ายบริหาร ตรงนี้จะเป็นปัญหาเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็มีอำนาจในการกำกับดูแลมหาวิทยาลัยจำกัด เพราะกฎหมายกำหนดให้มหาวิทยาลัยมีอิสระภายใต้การกำกับดูแลของสภามหาวิทยาลัย ดังนั้นทางแก้ปัญหาสุดท้ายก็อยู่ที่โครงสร้าง และธรรมาภิบาลของสภามหาวิทยาลัยเอง” นายพงศ์เทพ กล่าว
นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า สกอ.กระจายอำนาจลงไปให้มหาวิทยาลัย เพราะเชื่อว่าสภามหาวิทยาลัยจะกำกับดูแลทิศทางการบริหารมหาวิทยาลัยได้ดี แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมามีบางแห่งทำไม่ดีบ้าง และเมื่อมีการร้องเรียนเกิดขึ้น สกอ.ก็จะทำหน้าที่เข้าไปกำกับดูแลและมีบทลงโทษในกรณีที่พบว่ามีความผิดเกิดขึ้นชัดเจน โดยที่ผ่านมาก็เคยมีมาแล้ว คือ กรณีของ มรภ.สุรินทร์ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ม.ร.) ส่วนกรณีที่สภามหาวิทยาลัยและฝ่ายบริหาร มีการเอื้อประโยชน์ให้กัน เรื่องดังกล่าวเชื่อว่า ประชาคมของมหาวิทยาลัยเอง จะเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบ เชื่อว่าสภามหาวิทยาลัยน่าจะฟังเสียงประชาคมบ้าง แต่ถ้าไม่ฟังและเป็นเรื่องที่มีประจักษ์พยานชัดแจ้งจริงๆ ก็สามารถร้องขอความเป็นธรรมมายัง สกอ.ได้
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวถึงปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการสรรหาอธิการบดี โดยเฉพาะกรณีที่สภามหาวิทยาลัยพยายาม เสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมเพื่อโปรดเกล้าฯขึ้นเป็นอธิการบดี ว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากโครงสร้างของฝ่ายบริหารและสภามหาวิทยาลัย ซึ่งตามกฎหมายกำหนดที่มาของกรรมการสภามหาวิทยาลัย และบทบาทหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยไว้อย่างชัดเจน รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติในการคัดเลือกผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งอธิการบดีด้วย ดังนั้นถ้าโครงสร้างสภามหาวิทยาลัยมีปัญหา การสรรหาอธิการบดีก็จะมีปัญหาไปด้วย
“ที่ผ่านมาเคยมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และอาจจะเกิดขึ้นอีกคือ คนมีอำนาจ พยายามแก้ไขระเบียบการสรรหาอธิการบดี เพื่อให้ตัวเองได้ดำรงตำแหน่งต่อไป ดังนั้นผู้ที่จะกำกับดูแลกระบวนการสรรหาอธิการบดีได้ดีที่สุดคือสภามหาวิทยาลัย แต่ถ้าสภามหาวิทยาลัยไม่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ไม่รักษาประโยชน์ส่วนร่วม ไม่รักษาประโยชน์ของมหาวิทยาลัย ก็จะเกิดปัญหาได้ ยิ่งหากสภามหาวิทยาลัยไปเข้าข้างฝ่ายบริหาร หรืออยู่ตรงข้ามกับฝ่ายบริหาร ตรงนี้จะเป็นปัญหาเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็มีอำนาจในการกำกับดูแลมหาวิทยาลัยจำกัด เพราะกฎหมายกำหนดให้มหาวิทยาลัยมีอิสระภายใต้การกำกับดูแลของสภามหาวิทยาลัย ดังนั้นทางแก้ปัญหาสุดท้ายก็อยู่ที่โครงสร้าง และธรรมาภิบาลของสภามหาวิทยาลัยเอง” นายพงศ์เทพ กล่าว
นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า สกอ.กระจายอำนาจลงไปให้มหาวิทยาลัย เพราะเชื่อว่าสภามหาวิทยาลัยจะกำกับดูแลทิศทางการบริหารมหาวิทยาลัยได้ดี แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมามีบางแห่งทำไม่ดีบ้าง และเมื่อมีการร้องเรียนเกิดขึ้น สกอ.ก็จะทำหน้าที่เข้าไปกำกับดูแลและมีบทลงโทษในกรณีที่พบว่ามีความผิดเกิดขึ้นชัดเจน โดยที่ผ่านมาก็เคยมีมาแล้ว คือ กรณีของ มรภ.สุรินทร์ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ม.ร.) ส่วนกรณีที่สภามหาวิทยาลัยและฝ่ายบริหาร มีการเอื้อประโยชน์ให้กัน เรื่องดังกล่าวเชื่อว่า ประชาคมของมหาวิทยาลัยเอง จะเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบ เชื่อว่าสภามหาวิทยาลัยน่าจะฟังเสียงประชาคมบ้าง แต่ถ้าไม่ฟังและเป็นเรื่องที่มีประจักษ์พยานชัดแจ้งจริงๆ ก็สามารถร้องขอความเป็นธรรมมายัง สกอ.ได้
