โรคผิวหนังรุมเร้าคนอ้วนอื้อ ทั้งผิวอักเสบ ติดเชื้อง่าย แผลหายช้ากว่าคนปกติ เป็นขนคุด ผิวคล้ายเปลือกส้ม และสะเก็ดเงิน แพทย์ห่วงยิ่งมีอินซูลินในเลือดสูงทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์กลายเป็นปื้นดำขรุขระตามซอกพับของร่างกาย หากอ้วนมากอาจขึ้นที่หน้าและหลังมือ จนหมดสวย แนะปรับพฤติกรรมการกินและออกกำลังกาย ลดอ้วนได้อาการโรคจะค่อยๆ หายไปเอง
วันนี้ (14 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ผศ.พญ.ภาวิณี ฤกษ์นิมิตร คณะอนุกรรมการวิชาการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวในการแถลงข่าว “เมื่อความอ้วนมาป่วนผิว” ว่า ปัจจุบันคนไทยกำลังประสบปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและเผชิญหน้ากับโรคอ้วนสูงขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียบุคลิกภาพ เป็นที่ล้อเลียนในหมู่เพื่อนฝูงแล้ว นอกจากจะก่อให้เกิดความไม่มั่นใจและเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังส่งผลเสียโดยตรงต่อผิวหนังด้วย เพราะความอ้วนจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสรีระหลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดคือร่างกายขยายจนผิวหนังเสียดสีกันก็จะทำให้เกิดแผลได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ที่สำคัญคือคนอ้วนมักเหงื่อออกง่าย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าคนปกติ ทำให้เกิดอาการผิวแห้ง แดง อักเสบได้ง่าย รวมไปถึงการมีชั้นไขมันที่หนา จะทำให้เกิดความอับชื้นบริเวณซอกพับของร่างกายได้มาก ทำให้การระบายของเสียทางหลอดเลือดน้ำเหลืองไม่สะดวกและไหลกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต เส้นใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ไม่แข็งแรง หากเป็นแผลจะทำให้แผลหายช้ากว่าคนทั่วไป และเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณซอกพับ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีอัตราการไหลเวียนโลหิตที่มาเลี้ยงผิวหนังเพิ่มขึ้น เส้นเลือดฝอยที่ผิวหนังหดและมีการขยายตัวที่ผิดปกติ
ผศ.พญ.ภาวิณี กล่าวอีกว่า นอกจากอาการทางผิวหนังทั่วไปดังกล่าวแล้ว คนอ้วนยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่อไปนี้ด้วย ได้แก่ โรค Acanthosisnigricans ซึ่งเป็นโรคที่พบในคนอ้วนมากที่สุด โดยลักษณะของโรคจะเกิดเป็นปื้นดำหนาขรุขระดูคล้ายผ้ากำมะหยี่ พบได้บ่อยที่บริเวณซอกพับของร่างกาย บางครั้งจะมีติ่งเนื้อจำนวนมากบริเซณซอกพับควบคู่ไปกับปื้นดำด้วย เช่น รักแร้ หลังคอ ข้อพับแขน หากเป็นมากอาจพบที่บริเวณใบหน้าและหลังมือ เนื่องจากคนอ้วนมีอินซูลินในเลือดสูง ทำให้ผิวหนังมีการแบ่งเซลล์มากขึ้นจนกลายเป็นปื้นดำนูนขึ้นมา ซึ่งการรักษาแม้จะมียาลดอินซูลินเพื่อลดการแบ่งตัวของเซลล์ และกรดวิตามินเอที่ช่วยในการลอกปื้นดำออกไป แต่ยังไม่ใช่วิธีการรักษาที่ได้ผลในระยะยาว เพราะโรคอ้วนเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารและไม่ออกกำลังกายเป็นส่วนใหญ่ วิธีรักษาที่ดีที่สุดคือต้องปรับพฤติกรรม ซึ่งเมื่อลดอ้วนได้แล้วจะพบว่า อาการปื้นดำก็จะค่อยๆ จางหายไป
ผศ.พญ.วิภาณี กล่าวด้วยว่า คนอ้วนยังก่อให้เกิดโรคขนคุด (Keratosis pilaris) ซึ่งมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งบนรูขน คลำแล้วรู้สึกผิวสาก ไม่เรียบ พบมากบริเวณแขนขา ส่วนในรายที่มีขนดก เส้นขนจะยาวขึ้นและมีสีเข้ม เป็นสิว ขนที่ดกขึ้นจะพบที่หน้า หนวด ขนหน้าอก เป็นต้น แต่บริเวณศีรษะผมจะบางลง จะมีผิวแตกลาย เช่นเดียวกับที่พบในสตรีมีครรภ์บริเวณหน้าท้อง บั้นท้าย และต้นขา ผิวหนังที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างจะหนาและแข็ง เนื่องจากต้องรองรับน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นโรคที่เกี่ยวกับเซลลูไลท์หรือผิวหนังขรุขระคล้ายเปลือกส้มที่บริเวณต้นขา บั้นท้าย และหน้าท้อง โรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังชนิดต่างๆ โรคสะเก็ดเงินและโรคเก๊าท์
“จากการรักษาพบว่า เมื่อลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนแล้ว อาการของโรคต่างๆ ดังกล่าวจะมีดีขึ้น เช่น ปื้นดำจะบางลง ขนคุดราบลง โอกาสการติดเชื้อและผิวหนังอักเสบก็ลดลง อย่างไรก็ตามการลดความอ้วนจำเป็นที่จะต้องลดอย่างถูกวิธี ซึ่งการปรับพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายเป็นวิธีที่เริ่มจากตัวเองและง่ายที่สุด ขอเพียงมีกำลังใจ ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาหรือเครื่องมือต่างๆ” ผศ.พญ.วิภาณี กล่าว
วันนี้ (14 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ผศ.พญ.ภาวิณี ฤกษ์นิมิตร คณะอนุกรรมการวิชาการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวในการแถลงข่าว “เมื่อความอ้วนมาป่วนผิว” ว่า ปัจจุบันคนไทยกำลังประสบปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและเผชิญหน้ากับโรคอ้วนสูงขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียบุคลิกภาพ เป็นที่ล้อเลียนในหมู่เพื่อนฝูงแล้ว นอกจากจะก่อให้เกิดความไม่มั่นใจและเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังส่งผลเสียโดยตรงต่อผิวหนังด้วย เพราะความอ้วนจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสรีระหลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดคือร่างกายขยายจนผิวหนังเสียดสีกันก็จะทำให้เกิดแผลได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ที่สำคัญคือคนอ้วนมักเหงื่อออกง่าย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าคนปกติ ทำให้เกิดอาการผิวแห้ง แดง อักเสบได้ง่าย รวมไปถึงการมีชั้นไขมันที่หนา จะทำให้เกิดความอับชื้นบริเวณซอกพับของร่างกายได้มาก ทำให้การระบายของเสียทางหลอดเลือดน้ำเหลืองไม่สะดวกและไหลกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต เส้นใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ไม่แข็งแรง หากเป็นแผลจะทำให้แผลหายช้ากว่าคนทั่วไป และเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณซอกพับ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีอัตราการไหลเวียนโลหิตที่มาเลี้ยงผิวหนังเพิ่มขึ้น เส้นเลือดฝอยที่ผิวหนังหดและมีการขยายตัวที่ผิดปกติ
ผศ.พญ.ภาวิณี กล่าวอีกว่า นอกจากอาการทางผิวหนังทั่วไปดังกล่าวแล้ว คนอ้วนยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่อไปนี้ด้วย ได้แก่ โรค Acanthosisnigricans ซึ่งเป็นโรคที่พบในคนอ้วนมากที่สุด โดยลักษณะของโรคจะเกิดเป็นปื้นดำหนาขรุขระดูคล้ายผ้ากำมะหยี่ พบได้บ่อยที่บริเวณซอกพับของร่างกาย บางครั้งจะมีติ่งเนื้อจำนวนมากบริเซณซอกพับควบคู่ไปกับปื้นดำด้วย เช่น รักแร้ หลังคอ ข้อพับแขน หากเป็นมากอาจพบที่บริเวณใบหน้าและหลังมือ เนื่องจากคนอ้วนมีอินซูลินในเลือดสูง ทำให้ผิวหนังมีการแบ่งเซลล์มากขึ้นจนกลายเป็นปื้นดำนูนขึ้นมา ซึ่งการรักษาแม้จะมียาลดอินซูลินเพื่อลดการแบ่งตัวของเซลล์ และกรดวิตามินเอที่ช่วยในการลอกปื้นดำออกไป แต่ยังไม่ใช่วิธีการรักษาที่ได้ผลในระยะยาว เพราะโรคอ้วนเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารและไม่ออกกำลังกายเป็นส่วนใหญ่ วิธีรักษาที่ดีที่สุดคือต้องปรับพฤติกรรม ซึ่งเมื่อลดอ้วนได้แล้วจะพบว่า อาการปื้นดำก็จะค่อยๆ จางหายไป
ผศ.พญ.วิภาณี กล่าวด้วยว่า คนอ้วนยังก่อให้เกิดโรคขนคุด (Keratosis pilaris) ซึ่งมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งบนรูขน คลำแล้วรู้สึกผิวสาก ไม่เรียบ พบมากบริเวณแขนขา ส่วนในรายที่มีขนดก เส้นขนจะยาวขึ้นและมีสีเข้ม เป็นสิว ขนที่ดกขึ้นจะพบที่หน้า หนวด ขนหน้าอก เป็นต้น แต่บริเวณศีรษะผมจะบางลง จะมีผิวแตกลาย เช่นเดียวกับที่พบในสตรีมีครรภ์บริเวณหน้าท้อง บั้นท้าย และต้นขา ผิวหนังที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างจะหนาและแข็ง เนื่องจากต้องรองรับน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นโรคที่เกี่ยวกับเซลลูไลท์หรือผิวหนังขรุขระคล้ายเปลือกส้มที่บริเวณต้นขา บั้นท้าย และหน้าท้อง โรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังชนิดต่างๆ โรคสะเก็ดเงินและโรคเก๊าท์
“จากการรักษาพบว่า เมื่อลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนแล้ว อาการของโรคต่างๆ ดังกล่าวจะมีดีขึ้น เช่น ปื้นดำจะบางลง ขนคุดราบลง โอกาสการติดเชื้อและผิวหนังอักเสบก็ลดลง อย่างไรก็ตามการลดความอ้วนจำเป็นที่จะต้องลดอย่างถูกวิธี ซึ่งการปรับพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายเป็นวิธีที่เริ่มจากตัวเองและง่ายที่สุด ขอเพียงมีกำลังใจ ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาหรือเครื่องมือต่างๆ” ผศ.พญ.วิภาณี กล่าว