เผยสถานการณ์คุ้มครองผู้บริโภคในไทย พบรู้สิทธิแต่ใช้ไม่เป็น รู้จักปกป้องตนเอง แต่ยังไม่ปกป้องสิทธิผู้บริโภคโดยรวม นักวิชาการชี้ยังขาดเรื่องการชดเชยเมื่อเสียหาย
วันนี้ (13 มี.ค.) ที่โรงแรมรามากาเดนท์ ผศ.ภญ.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ แผนงานพัฒนาวิชาการและกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) กล่าวในการประชุมสมัชชาวิชาการคุ้มครองผู้บริโภคครั้งที่ 3 เรื่อง “สานพลัง สามพลัง เพื่อผู้บริโภค” ว่า เมื่อปี 2555 มีการทำดัชนีชี้วัดในเรื่องของสิทธิผู้บริโภคและศักยภาพผู้บริโภคด้านต่างๆ โดยมีการเก็บทำแบบสอบถามใน 19 จังหวัดเพื่อสำรวจสถานการณ์ของผู้บริโภคไทย พบว่าเมื่อเปรียบเทียบสิทธิผู้บริโภคไทยและสากลเรื่องการรับรองสิทธิของผู้บริโภคนั้น ไทยมีการรับรองสิทธิผู้บริโภคเกือบเทียบเท่าสากล โดยไทยมี 4 ข้อ จาก 8 ข้อ คือ มีสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าและบริการร้อยละ 82.19 สิทธิที่จะได้รับข่าวสารทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าและบริการร้อยละ 85.35 สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าและบริการ ร้อยละ 92.89 และสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในสัญญาร้อยละ 76.14 โดยไทยยังขาดสิทธิผู้บริโภค เช่น การเข้าถึงสินค้าและบริการที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน การเรียกร้องความเป็นธรรม ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคและสิทธิที่จะดำรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งยังจำเป็นต้องทำให้ไทยมีสิทธิเกี่ยวกับผู้บริโภคให้ครบทั้ง 8 ด้าน
ผศ.ภญ.วรรณา กล่าวอีกว่า เมื่อสำรวจในแง่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภคพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในแง่ความปลอดภัย แต่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับสิทธิในการได้รับการชดเชยความเสียหาย โดยพบว่า ผู้บริโภคที่มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องพบว่า มีความรู้ระดับดีมาก ร้อยละ 33.6 ระดับดี ร้อยละ 34.8 ระดับพอใช้ ร้อยละ 19.6 เมื่อสำรวจสื่อสิ่งพิมพ์ ที่มีรายงานสินค้าบริการที่ไม่ปลอดภัยเผยแพร่ในสื่อสิ่งพิมพ์ 23 รายการ ซึ่งมีทั้งยาอาหารบริการเสริมความงาม บริการสุขภาพ โดยมีผู้เสียชีวิต 3 ราย ร้องเรียน 1 ราย โดยแต่ละปีมีผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่องทำให้ต้องเฝ้าระวังตลอดเวลา ด้านการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค สิ่งที่ประชาชนทำเมื่อพบปัญหาคือ ขอคืนและเปลี่ยนสินค้าร้อยละ 53.9 ไม่ทำอะไรเลยร้อยละ 19.1 ขอคืนสินค้าและแจ้งอย.เพื่อเตือนคนอื่นร้อยละ 14.2 ขอคืนและให้ร้านชดเชยร้อยละ 7.2 โทรศัพท์ไปต่อว่าร้านค้าร้อยละ 2
“ในการสำรวจยังพบอีกว่า ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าบริการ แง่ความปลอดภัยสูง แต่พบว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในทางปฏิบัติ ยังพบว่าไม่มีการปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้อง โดยพบว่า ประชากรที่รับประทานอาหารที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ แยกเป็นประชาชนรับประทานอาหารไขมันสูง ร้อยละ 95.44 รับประทาน 4 วันขึ้นไปต่อสัปดาห์ ร้อยละ 40.53 และ กินทุกวัน ร้อยละ 9.12 รับประทานเครื่องดื่มน้ำอัดลมร้อยละ 82.1 รับประทาน 4 วันขึ้นไปต่อสัปดาห์ ร้อยละ 35.44 ดื่มทุกวันร้อยละ 15.96 กินขนมกรุบกรอบ ร้อยละ 72.89 รับประทาน 4 วันขึ้นไปต่อสัปดาห์ร้อยละ 21.32 กินทุกวัน ร้อยละ 5.79 แม้ว่าจะมีการตื่นตัวเรื่องผู้บริโภคมากแต่การคุ้มครองตนเองจนเกิดการคุ้มครองผู้อื่นด้วยนั้นยังต้องสนับสนุนส่งเสริม” ผศ.ภญ.วรรณา กล่าว
ด้าน รศ.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานสภาผู้บริโภคอาเซียน กล่าวว่า แม้ว่าไทยจะมีองค์กรเพื่อผู้บริโภคและทำงานด้านนี้อย่างเข้มแข็ง แต่เมื่อเทียบกับภูมิภาคนี้ ยังถือว่าไทยมีความอ่อนแอในงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค โดยพบว่าในภูมิภาคอาเซียนมี 4 ประเทศที่มีความเข้มแข็งในแง่การเตือนภัยผู้บริโภคคือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ พบกรณีน่าสนใจในการคุ้มครองผู้บริโภคพบว่า ประเทศอินโดนีเซีย มีการเตือนและเรียกเก็บสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า มีทั้งหม้อหุงข้าว เครื่องดูดฝุ่น ที่ปิ้งขนมปัง เพราะไม่มีคู่มือการใช้ภาษาอินโดนีเซีย เวียดนาม มีการเรียกเก็บรถ เนื่องจากพบว่า น้ำมันเบรกอาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัย มาเลเซีย มีการเรียกเก็บมือถือเพราะมีความไม่ปลอดภัยเรื่องการชาร์ตไฟ และฟิลิปปินส์ ก็มีการเรียกเก็บรถเนื่องจากล้อไม่ปลอดภัย เป็นต้น
“กลไกในการคุ้มครองผู้บริโภคในอาเซียนยังถือว่าขาดกลไกที่เข้มแข็งในแง่การชดเชยเมื่อเกิดความเสียหายข้ามแดน ซึ่งพบว่า สภาผู้บริโภคจะเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้งานเดินไปข้างหน้า โดยปัจจุบันมีการก่อตั้งสภาผู้บริโภคอาเซียน (ACCP) โดยมีสมาชิก 7 ประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน และแม้ว่าผู้บริโภคจะเริ่มมีความเข้มแข็งขึ้นในการเรียนร้องสิทธิของตนเอง แต่ต้องพัฒนาไปจนถึงให้มีการปกป้องสิทธิกันและกัน” รศ.ภญ.จิราพร กล่าว