ศธ.เตรียมร่วมกับ บริติช เคานซิล พัฒนาแอปฯสอนภาษาอังกฤษในแท็บเล็ต

ศธ.ร่วมกับบริติช เคานซิล กำจัดจุดอ่อนด้านภาษาอังกฤษเด็กไทย เล็งร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชันสอนภาษาอังกฤษ ให้ นร.ได้ดาวน์โหลดไปฝึกฝน เชื่อกระตุ้นเกิดความคุ้นเคยและสร้างทักษะการพูดและสำเนียงดีขึ้น

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังลงนามความร่วมมือกับบริติช เคานซิล ว่า ปัจจุบันเด็กไทยยังมีจุดอ่อนในเรื่องของภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะการพูดและสำเนียง ซึ่งการร่วมมือกับบริติช เคานซิลครั้งนี้ จะเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ทั้งนี้ ทางบริติช เคานซิลได้ให้ความร่วมมือในโครงการผู้ช่วยสอนภาษาอังกฤษ โดยจะส่งอาสาสมัครนักศึกษาชาวอังกฤษเพื่อมาทำหน้าที่เป็นช่วยสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการทั้งในระดับมัธยมศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาและการศึกษานอกระบบ รวมทั้งหมด 621 แห่งทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ศธ.และบริติช เคานซิล ได้ร่วมมือมีความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครั้งนี้เป็นที่ 2 โดยจะมีการเพิ่มอาสาสมัครครูผู้ช่วยสอนภาษาอังกฤษเพิ่มเป็น 792 คนจากรุ่นแรกที่มีเพียง 61 คน โดยอาสาสมัครเหล่านี้จะกระจายสอนตามโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 477 แห่ง โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 49 แห่ง และสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 95 แห่ง ระยะเวลา 8 สัปดาห์

“หลังการร่วมมือกันพบว่า ทักษะการใช้พูดและฟังภาษาอังกฤษของเด็กไทยมีการพัฒนาที่ดีขึ้น ทำให้เด็กนักเรียนสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษสำเนียงเหมือนเจ้าของภาษาได้ ซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมให้เด็กไทยสามารถเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้” นายพงศ์เทพ กล่าวและว่า นอกจากนี้ความร่วมมือเพื่อยกระดับการสื่อสารภาษาอังกฤษแล้ว ศธ.จะร่วมกับบริติช เคาซิล ในการจัดทำแอปพลิเคชันสอนภาษาอังกฤษในแท็บเล็ต เพื่อให้นักเรียนดาวน์โหลดไปใช้ฝึกการพูดและฟังเสียงสำเนียงจากเจ้าของภาษาได้ชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เด็กเกิดความคุ้นเคยในการใช้ภาษาได้

ด้าน นายมาร์ค เคนต์ เอกอัครราชฑูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย กล่าวว่า เชื่อว่าหลังจากที่บริติช เคานซิล เข้ามาเป็นครูผู้ช่วยสอนภาษาอังกฤษให้เด็กไทยก็น่าจะช่วยลดจุดอ่อนด้านภาษาได้ระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันอาสาสมัครที่มา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีชาวอังกฤษก็จะได้รับประสบการณ์ในการทำงานระหว่างประเทศระหว่างปิดภาคเรียน รวมทั้งยังสามารถแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและภาษาของทั้งสองประเทศได้