“สมคิด” ไม่เห็นด้วยแยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเป็นอิสระ เหตุทำให้งานมหาวิทยาลัยล่าช้าขึ้นกว่าเดิม ขณะที่อธิการบดี มช.เห็นด้วยให้แยกองค์กร
ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่มีข้อเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการปรับโครงสร้างบริหารงานโดยให้แยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แยกออกเป็นอิสระเพื่อการบริหารงานที่คล่องตัว
ว่า ในสมัยที่เป็นทบวงมหาวิทยาลัยนั้นมหาวิทยาลัยมีความคล่องตัว เพราะขึ้นตรงกับ รมว.ทบวงฯ แต่เมื่อรวมกับกระทรวงศึกษาธิการก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่แต่ละองค์กรต้องมีความเป็นอิสระ แต่เมื่อรวมกับ ศธ.แล้ว งานมหาวิทยาลัยก็เกิดความล่าช้ามากทุกสมัย อาทิ เรื่องตำแหน่งวิชาการ การเสนอเรื่องโปรดเกล้าฯ ดังนั้น หากเพิ่มขั้นตอนผ่านสำนักงานปลัดอีก งานก็ล่าช้ามากขึ้นอีก
“ผมเข้าใจว่า เมื่อทุกองค์กรหลักส่งเรื่องตรงถึง รมว.ศึกษาธิการ ทำให้ไม่มีคนกรองงานให้ จึงต้องให้ สป.ช่วยกลั่นกรองงานให้ แต่วัฒนธรรมองค์กรของ สกอ.ต่างจาก สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ซึ่งเคยเป็นกรมมาก่อน และเคยส่งงานผ่าน สป.หากกลับไปเหมือนเดิมก็คงไม่เป็นไร แต่ สกอ.ไม่ได้เป็นเช่นนั้น” ศ.ดร.สมคิด กล่าว
ด้านรศ.นพ.นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องที่ให้แยกสกอ.ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การบริหารงานอุดมศึกษาคล่องตัว แต่เมื่อยังรวมอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ ก็เห็นว่า ระบบการบริหารงานตามโครงสร้างเดิมดีอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยจะส่งเรื่องผ่าน สกอ.แล้วส่งเรื่องตรงถึง รมว.ศึกษาธิการ ไม่จำเป็นต้องผ่านสำนักงานปลัด ศธ.เป็นการเพิ่มขั้นตอนการทำงานให้งานล่าช้ามากขึ้น ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการบริหารงานแบบองค์กรหลักหรือสำนักงานที่ส่งเรื่องตรงถึง รมว.ศึกษาธิการ ไม่ใช่การบริหารแบบกรม ซึ่งอธิบดีต้องส่งเรื่องผ่านปลัดกระทรวงเนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชา ดังนั้น รมว.ศึกษาธิการ น่าจะทบทวนในเรื่องนี้
ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่มีข้อเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการปรับโครงสร้างบริหารงานโดยให้แยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แยกออกเป็นอิสระเพื่อการบริหารงานที่คล่องตัว
ว่า ในสมัยที่เป็นทบวงมหาวิทยาลัยนั้นมหาวิทยาลัยมีความคล่องตัว เพราะขึ้นตรงกับ รมว.ทบวงฯ แต่เมื่อรวมกับกระทรวงศึกษาธิการก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่แต่ละองค์กรต้องมีความเป็นอิสระ แต่เมื่อรวมกับ ศธ.แล้ว งานมหาวิทยาลัยก็เกิดความล่าช้ามากทุกสมัย อาทิ เรื่องตำแหน่งวิชาการ การเสนอเรื่องโปรดเกล้าฯ ดังนั้น หากเพิ่มขั้นตอนผ่านสำนักงานปลัดอีก งานก็ล่าช้ามากขึ้นอีก
“ผมเข้าใจว่า เมื่อทุกองค์กรหลักส่งเรื่องตรงถึง รมว.ศึกษาธิการ ทำให้ไม่มีคนกรองงานให้ จึงต้องให้ สป.ช่วยกลั่นกรองงานให้ แต่วัฒนธรรมองค์กรของ สกอ.ต่างจาก สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ซึ่งเคยเป็นกรมมาก่อน และเคยส่งงานผ่าน สป.หากกลับไปเหมือนเดิมก็คงไม่เป็นไร แต่ สกอ.ไม่ได้เป็นเช่นนั้น” ศ.ดร.สมคิด กล่าว
ด้านรศ.นพ.นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องที่ให้แยกสกอ.ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การบริหารงานอุดมศึกษาคล่องตัว แต่เมื่อยังรวมอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ ก็เห็นว่า ระบบการบริหารงานตามโครงสร้างเดิมดีอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยจะส่งเรื่องผ่าน สกอ.แล้วส่งเรื่องตรงถึง รมว.ศึกษาธิการ ไม่จำเป็นต้องผ่านสำนักงานปลัด ศธ.เป็นการเพิ่มขั้นตอนการทำงานให้งานล่าช้ามากขึ้น ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการบริหารงานแบบองค์กรหลักหรือสำนักงานที่ส่งเรื่องตรงถึง รมว.ศึกษาธิการ ไม่ใช่การบริหารแบบกรม ซึ่งอธิบดีต้องส่งเรื่องผ่านปลัดกระทรวงเนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชา ดังนั้น รมว.ศึกษาธิการ น่าจะทบทวนในเรื่องนี้
