ปธ.ชมรมแพทย์ชนบท ชี้ สธ.ทบทวนงบดีพีแอลช้า ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งอาจต้องซื้อครุภัณฑ์แพงขึ้น หรือลดสเปกลง ย้ำ เป็นบทเรียนสำหรับหน่วยงานรัฐ
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบงบประมาณจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หรือโครงการเงินกู้ดีพีแอล (DPL) งบประมาณ 3,426 ล้านบาท โดย สธ.กลับไปทบทวนใหม่เหลือจำนวน 3,273 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จตั้งแต่กลางปี 2555 เนื่องจากมีการสั่งทบทวนงบประมาณมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ สธ.กลับล่าช้า ทำให้ใช้เวลาเป็นปีกว่าเรื่องจะผ่าน อย่างไรก็ตาม แม้ ครม.จะมีมติเห็นชอบในการกระจายงบให้หน่วยบริการในสังกัด สธ.แล้ว แต่สิ่งที่อยากฝาก คือ จากความล่าช้า ส่งผลให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งอาจจัดซื้อครุภัณฑ์ที่มีราคาแพงขึ้น เนื่องจากเมื่อเวลาล่วงเลย ทำให้กลไกของราคาเครื่องมือต่างๆ สูงตามไปด้วย รวมถึงอาจไม่ได้สเป็กตามที่กำหนด
นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) จะเห็นชัดมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้เตรียมประกวดราคาและตั้งงบไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อล่าช้าราคาที่เคยกำหนดไว้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป มีราคาที่สูงขึ้น ส่วนที่เคยตกลงในการขอลดราคา หรือของแถมต่างๆ ก็ไม่มีด้วย ยกตัวอย่าง ครุภัณฑ์ 3 รายการที่เห็นชัดเจน คือ 1.เครื่องปั่นไฟ ก่อนหน้านั้น ตกลงราคากับบริษัทในการจัดซื้อจัดจ้างที่เครื่องละ 1.7 ล้านบาท สำหรับขนาด 100 กิโลวัตต์ และ 3 ล้านบาท สำหรับขนาด 300 กิโลวัตต์ แต่เมื่อกระทรวงเสนอของบช้า ทบทวนไปมาไม่จบสิ้น ทำให้ปัจจุบันราคาสูงขึ้นอีกร้อยละ 10 2.ตู้อบทารก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตเด็กทารกแรกเกิด เดิมกำหนดราคาประมาณ 3.1 แสนบาท ปัจจุบันพุ่งเป็น 3.7-4 แสนบาท และ 3.เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า เดิมมีราคา 2.8 แสนบาท ปัจจุบันขึ้นเป็น 3.5 แสนบาท ซึ่งเมื่อได้รับงบประมาณมาก็ต้องจัดสรรให้ได้ โดยอาจต้องเลี่ยงไปจัดซื้อกับทางบริษัทของอินเดีย และอาจต้องลดสเปกลง หรือหากจะได้ตามเดิมอาจต้องขอเงินบริจาคเข้าโรงพยาบาลแทน
“ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ ว่า หากล่าช้าสุดท้ายผลเสียจะกลับมาที่หน่วยงานรัฐเอง เพราะเมื่องบจำกัด สเป็กครุภัณฑ์ต่างๆ ก็จะลดลง หรือหากไม่ลด เราก็จะต้องซื้อของแพง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นอีก” ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าว
นพ.เกรียงศักดิ์ ยังกล่าวถึงการประชุมวิชาการโรงพยาบาลชุมชนประจำปี 2555 ว่า สำหรับการประชุมครั้งนี้จะมีการหารือถึงปัญหาของโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะการหารือเรื่องค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ที่ปัจจุบันหลายคนมองว่าแพทย์ในโรงพยาบาลขนาดเล็กกลับได้รับเงินค่าตอบแทนสูง บางคนได้เงินเดือนสูงถึง 70,000 บาท ไม่เป็นธรรมกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่งจริงๆไม่ใช่ แพทย์ที่ได้ค่าตอบแทนสูงมีไม่ถึง 6 คนด้วยซ้ำ ที่สำคัญคนกลุ่มนี้ต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และต้องทำงานนานกว่า 20 ปี ซึ่งตรงนี้เป็นการเสียสละ แต่ด้วยความไม่เข้าใจทำให้ถูกมองว่า แพทย์โรงพยาบาลเล็กรับเงินเดือนมากกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ทำให้มีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเงินค่าตอบแทนเกิดขึ้น ดังนั้น ในการประชุมฯวันที่ 24 มกราคมนี้ ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จะมีการหารือถึงการเตรียมความพร้อมในกรณีที่หากมีการปรับเปลี่ยนค่าตอบแทนจริง จะส่งผลอย่างไร และโรงพยาบาลชุมชนจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบงบประมาณจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หรือโครงการเงินกู้ดีพีแอล (DPL) งบประมาณ 3,426 ล้านบาท โดย สธ.กลับไปทบทวนใหม่เหลือจำนวน 3,273 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จตั้งแต่กลางปี 2555 เนื่องจากมีการสั่งทบทวนงบประมาณมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ สธ.กลับล่าช้า ทำให้ใช้เวลาเป็นปีกว่าเรื่องจะผ่าน อย่างไรก็ตาม แม้ ครม.จะมีมติเห็นชอบในการกระจายงบให้หน่วยบริการในสังกัด สธ.แล้ว แต่สิ่งที่อยากฝาก คือ จากความล่าช้า ส่งผลให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งอาจจัดซื้อครุภัณฑ์ที่มีราคาแพงขึ้น เนื่องจากเมื่อเวลาล่วงเลย ทำให้กลไกของราคาเครื่องมือต่างๆ สูงตามไปด้วย รวมถึงอาจไม่ได้สเป็กตามที่กำหนด
นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) จะเห็นชัดมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้เตรียมประกวดราคาและตั้งงบไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อล่าช้าราคาที่เคยกำหนดไว้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป มีราคาที่สูงขึ้น ส่วนที่เคยตกลงในการขอลดราคา หรือของแถมต่างๆ ก็ไม่มีด้วย ยกตัวอย่าง ครุภัณฑ์ 3 รายการที่เห็นชัดเจน คือ 1.เครื่องปั่นไฟ ก่อนหน้านั้น ตกลงราคากับบริษัทในการจัดซื้อจัดจ้างที่เครื่องละ 1.7 ล้านบาท สำหรับขนาด 100 กิโลวัตต์ และ 3 ล้านบาท สำหรับขนาด 300 กิโลวัตต์ แต่เมื่อกระทรวงเสนอของบช้า ทบทวนไปมาไม่จบสิ้น ทำให้ปัจจุบันราคาสูงขึ้นอีกร้อยละ 10 2.ตู้อบทารก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตเด็กทารกแรกเกิด เดิมกำหนดราคาประมาณ 3.1 แสนบาท ปัจจุบันพุ่งเป็น 3.7-4 แสนบาท และ 3.เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า เดิมมีราคา 2.8 แสนบาท ปัจจุบันขึ้นเป็น 3.5 แสนบาท ซึ่งเมื่อได้รับงบประมาณมาก็ต้องจัดสรรให้ได้ โดยอาจต้องเลี่ยงไปจัดซื้อกับทางบริษัทของอินเดีย และอาจต้องลดสเปกลง หรือหากจะได้ตามเดิมอาจต้องขอเงินบริจาคเข้าโรงพยาบาลแทน
“ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ ว่า หากล่าช้าสุดท้ายผลเสียจะกลับมาที่หน่วยงานรัฐเอง เพราะเมื่องบจำกัด สเป็กครุภัณฑ์ต่างๆ ก็จะลดลง หรือหากไม่ลด เราก็จะต้องซื้อของแพง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นอีก” ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าว
นพ.เกรียงศักดิ์ ยังกล่าวถึงการประชุมวิชาการโรงพยาบาลชุมชนประจำปี 2555 ว่า สำหรับการประชุมครั้งนี้จะมีการหารือถึงปัญหาของโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะการหารือเรื่องค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ที่ปัจจุบันหลายคนมองว่าแพทย์ในโรงพยาบาลขนาดเล็กกลับได้รับเงินค่าตอบแทนสูง บางคนได้เงินเดือนสูงถึง 70,000 บาท ไม่เป็นธรรมกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่งจริงๆไม่ใช่ แพทย์ที่ได้ค่าตอบแทนสูงมีไม่ถึง 6 คนด้วยซ้ำ ที่สำคัญคนกลุ่มนี้ต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และต้องทำงานนานกว่า 20 ปี ซึ่งตรงนี้เป็นการเสียสละ แต่ด้วยความไม่เข้าใจทำให้ถูกมองว่า แพทย์โรงพยาบาลเล็กรับเงินเดือนมากกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ทำให้มีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเงินค่าตอบแทนเกิดขึ้น ดังนั้น ในการประชุมฯวันที่ 24 มกราคมนี้ ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จะมีการหารือถึงการเตรียมความพร้อมในกรณีที่หากมีการปรับเปลี่ยนค่าตอบแทนจริง จะส่งผลอย่างไร และโรงพยาบาลชุมชนจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป