อึ้ง! โจ๋ไทยหันพึ่งหมอจีนฝังเข็มช่วยหน้าใสและลดน้ำหนักมากขึ้น ต่างจากอดีตที่นิยมเฉพาะวัยอากงอาม่า เฉพาะที่สถาบันพรหมวชิรญาณ ม.เกษตรฯเข้าใช้บริการมากถึง 70% แพทย์แผนจีนชี้ต้องทำโดยแพทย์มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะเท่านั้น ทั่วประเทศมีเพียง 300 คน
นางสุขใจ พนิชศักดิ์พัฒนา เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาล 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ เปิดเผยว่า มูลนิธิฯเปิดให้บริการคลินิกการแพทย์แผนจีน 2 แห่ง คือ 1.สถาบันพรหมวชิรญาณ คลินิกการแพทย์แผนไทย-จีน สาขาวัดยานนาวา และ 2.ศูนย์พรหมวชิรญาณคลินิกการแพทย์แผนไทย-จีน สาขา ม.เกษตรศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันพบว่า วัยรุ่นไทยสนใจเข้ารับการฝังเข็มเพื่อการรักษามากขึ้น โดยเฉพาะการฝังเข็มทำให้หน้าใส ลดน้ำหนักและลดส่วนเกิน ในส่วนของสาขาม.เกษตรศาสตร์ มีวัยรุ่นเข้ารับการฝังเข็มหน้าใสมากถึงร้อยละ 70 ของผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยการฝังเข็ม
“ที่วัยรุ่นสนใจการฝังเข็มมากขึ้น อาจเป็นเพราะเข้ารับการรักษาแล้วได้ผลจริง เช่น บางรายฝังเข็มลดน้ำหนัก หลังฝัง 1 ครั้ง น้ำหนักลดไปเกือบ 1 กิโลกรัม หรือฝังช่วยหน้าใส ฝังแล้วรู้สึกหน้าตึงขึ้น เป็นต้น เพราะการฝังเข็มเป็นการช่วยปรับสมดุลของร่างกายจากภายใน เมื่อฝังเข็มแล้วได้ผลคงมีการบอกต่อกันแบบปากต่อปากในกลุ่มวัยรุ่น ทำให้ตัวเลขความสนใจการฝังเข็มในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มมากขึ้น ต่างจากอดีตที่คนมารักษาด้วยวิธีการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีอายุ” นางสุขใจ กล่าว
นางสุขใจ กล่าวอีกว่า การฝังเข็มช่วยให้หน้าใส ลดน้ำหนักและลดส่วนเกิน รวมถึงรักษาโรคต่างๆได้อีกไม่น้อยกว่า 48 โรค เนื่องจากการฝังเข็มเกิดผลในการรักษา 2 ประการ ได้แก่ 1.ทำให้เกิดการหลั่งสารและฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดทั้งในระบบประสาทส่วนกลาง ส่วนปลาย และกลไกของร่างกายทั้งหมด ทำให้เกิดฤทธิ์ระงับความเจ็บปวด ลดการอักเสบ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ ปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทและสมอง ทำให้จิตแจ่มใส โดยสารเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นปกติในร่างกายตามธรรมชาติจึงแตกต่างจากการรับประทานยา หรือฉีดเข้าร่างกาย เนื่องจากไม่มีพิษ ไม่มีผลแทรกซ้อน และร่างกายมีกลไกในการควบคุมจึงไม่มีโอกาสหลั่งสารออกมามากเกินขนาด และ 2.ทำให้เกิดการกระตุ้นจนมีการปรับตัวของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งควบคุมเส้นเลือดและการทำงานของอวัยวะภายในทั่วร่างกาย จึงเป็นผลช่วยรักษาภาวะที่อวัยวะต่างๆ แขน และขาขาดเลือดหล่อเลี้ยง การปรับการทำงานของอวัยวะเป็นแบบควบคุม 2 ทาง โดยหากอวัยวะทำงานมากเกินไป ก็จะทำให้ลดลง อวัยวะใดทำงานน้อยก็ปรับให้มากขึ้น
“การรักษาด้วยการฝังเข็มต้องทำโดยแพทย์แผนจีนที่ได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีน ซึ่งทั่วประเทศมีอยู่ราว 300 คนเท่านั้น ผลการรักษาในคนไข้แต่ละคนจะได้ผลดีไม่เท่ากัน ขึ้นกับการตอบสนองต่อการฝังเข็มที่แตกต่างกัน และระยะเวลาที่เป็นโรคนั้น ทั้งนี้ การฝังเข็มมีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ต้องให้การรักษาอย่างระมัดระวัง ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยังไม่ได้รับการตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ผู้ป่วยโรคเลือดที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด โรคที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด และโรคที่ยังไม่ทราบการวินิจฉัยที่แน่นอน สำหรับอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเป็นลมหรือหากไม่หมดสติ เรียกเมาเข็ม เลือดซึมออกเล็กน้อยตามรูเข็ม เข็มติดหรือเข้มหนืด เข็มงอและเข็มหักแต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก” นางสุขใจ กล่าว
ทั้งนี้ การฝังเข็มเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การรับรองการรักษาตั้งแต่ปี 2516 สำหรับประเทศไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดเป็นการแพทย์ทางเลือก
นางสุขใจ พนิชศักดิ์พัฒนา เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาล 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ เปิดเผยว่า มูลนิธิฯเปิดให้บริการคลินิกการแพทย์แผนจีน 2 แห่ง คือ 1.สถาบันพรหมวชิรญาณ คลินิกการแพทย์แผนไทย-จีน สาขาวัดยานนาวา และ 2.ศูนย์พรหมวชิรญาณคลินิกการแพทย์แผนไทย-จีน สาขา ม.เกษตรศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันพบว่า วัยรุ่นไทยสนใจเข้ารับการฝังเข็มเพื่อการรักษามากขึ้น โดยเฉพาะการฝังเข็มทำให้หน้าใส ลดน้ำหนักและลดส่วนเกิน ในส่วนของสาขาม.เกษตรศาสตร์ มีวัยรุ่นเข้ารับการฝังเข็มหน้าใสมากถึงร้อยละ 70 ของผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยการฝังเข็ม
“ที่วัยรุ่นสนใจการฝังเข็มมากขึ้น อาจเป็นเพราะเข้ารับการรักษาแล้วได้ผลจริง เช่น บางรายฝังเข็มลดน้ำหนัก หลังฝัง 1 ครั้ง น้ำหนักลดไปเกือบ 1 กิโลกรัม หรือฝังช่วยหน้าใส ฝังแล้วรู้สึกหน้าตึงขึ้น เป็นต้น เพราะการฝังเข็มเป็นการช่วยปรับสมดุลของร่างกายจากภายใน เมื่อฝังเข็มแล้วได้ผลคงมีการบอกต่อกันแบบปากต่อปากในกลุ่มวัยรุ่น ทำให้ตัวเลขความสนใจการฝังเข็มในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มมากขึ้น ต่างจากอดีตที่คนมารักษาด้วยวิธีการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีอายุ” นางสุขใจ กล่าว
นางสุขใจ กล่าวอีกว่า การฝังเข็มช่วยให้หน้าใส ลดน้ำหนักและลดส่วนเกิน รวมถึงรักษาโรคต่างๆได้อีกไม่น้อยกว่า 48 โรค เนื่องจากการฝังเข็มเกิดผลในการรักษา 2 ประการ ได้แก่ 1.ทำให้เกิดการหลั่งสารและฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดทั้งในระบบประสาทส่วนกลาง ส่วนปลาย และกลไกของร่างกายทั้งหมด ทำให้เกิดฤทธิ์ระงับความเจ็บปวด ลดการอักเสบ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ ปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทและสมอง ทำให้จิตแจ่มใส โดยสารเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นปกติในร่างกายตามธรรมชาติจึงแตกต่างจากการรับประทานยา หรือฉีดเข้าร่างกาย เนื่องจากไม่มีพิษ ไม่มีผลแทรกซ้อน และร่างกายมีกลไกในการควบคุมจึงไม่มีโอกาสหลั่งสารออกมามากเกินขนาด และ 2.ทำให้เกิดการกระตุ้นจนมีการปรับตัวของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งควบคุมเส้นเลือดและการทำงานของอวัยวะภายในทั่วร่างกาย จึงเป็นผลช่วยรักษาภาวะที่อวัยวะต่างๆ แขน และขาขาดเลือดหล่อเลี้ยง การปรับการทำงานของอวัยวะเป็นแบบควบคุม 2 ทาง โดยหากอวัยวะทำงานมากเกินไป ก็จะทำให้ลดลง อวัยวะใดทำงานน้อยก็ปรับให้มากขึ้น
“การรักษาด้วยการฝังเข็มต้องทำโดยแพทย์แผนจีนที่ได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีน ซึ่งทั่วประเทศมีอยู่ราว 300 คนเท่านั้น ผลการรักษาในคนไข้แต่ละคนจะได้ผลดีไม่เท่ากัน ขึ้นกับการตอบสนองต่อการฝังเข็มที่แตกต่างกัน และระยะเวลาที่เป็นโรคนั้น ทั้งนี้ การฝังเข็มมีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ต้องให้การรักษาอย่างระมัดระวัง ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยังไม่ได้รับการตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ผู้ป่วยโรคเลือดที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด โรคที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด และโรคที่ยังไม่ทราบการวินิจฉัยที่แน่นอน สำหรับอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเป็นลมหรือหากไม่หมดสติ เรียกเมาเข็ม เลือดซึมออกเล็กน้อยตามรูเข็ม เข็มติดหรือเข้มหนืด เข็มงอและเข็มหักแต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก” นางสุขใจ กล่าว
ทั้งนี้ การฝังเข็มเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การรับรองการรักษาตั้งแต่ปี 2516 สำหรับประเทศไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดเป็นการแพทย์ทางเลือก