คอลัมน์ : ฝ่าเกลียวคลื่น
โดย...บรรจง นะแส
วันนี้ทั่วทุกวัดของภาคใต้จะมีพิธีกรรมหนึ่งที่สำคัญ ที่ถือเป็นประเพณีที่คนใต้ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านาน เราเรียกประเพณีนี้ว่า “วันชิงเปรต” เปรตที่มีการเล่าขานกันมาเป็นตำนานมีชื่อว่า “ปรทัตตุปชีวิกเปรต” ซึ่งท่านจะถูกปล่อยให้ขึ้นมาจากนรก เพื่อมาร้องขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้องบนโลกมนุษย์ ลูกหลานจึงได้มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปไห้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พี่น้องลูกหลานที่ล่วงลับไป เผื่อว่ามีบางท่านต้องไปตกนรกหมกไหม้เพราะทำความชั่ว เมื่อถึงวันที่ถูกปล่อยขึ้นมาลูกหลานก็แสดงความกตัญญูโดยการจัดอาหารคาวหวานไปวางไว้ที่บริเวณต่างๆ ของวัด เช่น ตามโคนต้นไม้ ตามริมรั้วนอกวัด เพราะเปรตบางท่านทำชั่วไว้มาก ง่อยเปลี้ยเสียขา แม้จะเข้าไปกินอาหารในวัดก็เข้าไม่ได้ หรือมีเครื่องบินส่วนตัวก็กลับเข้าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองก็ไม่ได้ทำนองนั้น
เปรตจะถูกปล่อยขึ้นมาจากนรกในช่วงระยะเวลาสั้นๆ คือ จากแรม 1 ค่ำเดือน 10 และจะต้องกลับไปนรกในวันนี้คือ วันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ลูกหลานทางภาคใต้ส่วนใหญ่จะจัดสำรับที่เรียกว่า “หฺมฺรับ” (คำว่า “หฺมฺรับ” มาจากคำว่า “สำรับ”) ไปถวายพระที่วัดตามวิถีพุทธผสมพราหมณ์ของคนไทย ที่มีความเชื่อว่า บรรพบุรุษ เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความดีไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์ แต่หากทำความชั่วจะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศกุศลไปให้ในแต่ละปีมายังชีพ ดังนั้น ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์ เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลาน แล้วจะกลับไปนรกในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 คือในวันนี้ ซึ่งก็เรียกกันว่าวันส่งตายาย ถือว่าเป็นวันที่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับจะต้องกลับยมโลก
ประเพณี “วันชิงเปรต” หรือ “วันส่งตายาย” ประเพณีสำคัญของภาคใต้ในวันนี้นั้น เรียกอีกอย่างตามภาษาทางการว่า “สารทเดือนสิบ” คำว่า “สารท” เป็นภาษาบาลีที่มีผู้รู้แปลว่า ฤดูอับลม หรือฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งตรงกับภาษาสันสกฤตว่า “ศารท” ฤดูสารท หรือฤดูศารท ดังนั้น การร่วมกันทำบุญวันนี้เพื่อบรรพบุรุษ จะได้ไม่อดอยากหิวโหยเมื่อกลับสู่นรก ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญในวันส่งตายายนี้จะถูกถือว่าเป็นคนอกตัญญู
มีผู้ศึกษาเรื่องเปรตเอาไว้หลายสำนัก บางสำนักมีการจำแนกเปรตออกเป็น 4 จำพวกคือ 1.ปรทัตตุปชีวิกเปรต เป็นเปรตที่เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้ โดยการเซ่นไหว้ 2.ขุปปีปาสิกเปรต เป็นเปรตที่อดอยาก หิวข้าวหิวน้ำอยู่เป็นนิตย์ 3.นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ 4.กาลกัญชิกเปรต เป็นเปรตในจำพวกอสุรกาย หรือเป็นชื่อของอสุรกายที่เป็นเปรต นอกจากนั้น ก็มีการแบ่งเปรตออกเป็น 12 ตระกูล เช่น เปรตที่กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียนเป็นอาหาร เปรตที่กินซากศพคน หรือสัตว์เป็นอาหาร เปรตที่กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร เป็นต้น ซึ่งก็น่าจะรวมถึงเปรตที่กินอิฐหินดินทราย เปรตที่ทุจริตคอร์รัปชันฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกชนิดรวมอยู่ด้วย
นอกจากนั้น ยังมีการแจกแจงรายละเอียดของเปรต 12 ตระกูลเอาไว้ว่า ตระกูลที่ 1 เรียกว่าวันตาสาเปรต เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างน่าเกลียด น่ากลัว และอดอยากหิวโหย เมื่อเปรตเหล่านี้เห็นมนุษย์ถ่มเสลดน้ำลายออกมา ต่างตื่นเต้นดีใจรีบตรงไปดูดเอาโอชะเสลดเป็นอาหาร กินแล้วยังหิวโหยเช่นเดิม จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะไปเกิดในภูมิอื่น กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชาติก่อนเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เห็นผู้ใดอดอยากมาขออาหาร ก็พาลโกรธถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ที่ควรเคารพบูชา เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์แล้วไม่มีความเคารพต่อสถานที่ ได้ถ่มเสลดน้ำลายลงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตในตระกูลนี้
ที่น่าสนใจก็คือ เปรตในตระกูลที่ 5 ที่เรียกว่าสุจิมุขาเปรต เปรตตระกูลนี้ รูปร่างแปลกพิกล คือ เท้าทั้งสองใหญ่โต คอยาวมาก แต่ปากเท่ารูเข็ม จะได้อาหารมาบริโภคแต่ละครั้งก็ไม่พออิ่ม เพราะมีปากเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้ง่ายๆ อยากกินแต่กินไม่ได้ ต้องทุกข์ทรมานแสนลำบาก ร่างกายผอมโซดำเกรียม กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนตระหนี่ในชาติที่เป็นมนุษย์ เมื่อมีใครมาขออาหารก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาที่จะถวายทานแก่สมณชีพราหมณ์ผู้มีศีล มีจิตหวงแหนทรัพย์สมบัติ ผลกรรมตามสนอง ต้องมาเกิดเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม
เปรตที่ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอในสังคมของเรามีมากขึ้นทุกวัน เปรตที่เต็มไปด้วยความโลภไม่รู้จักพอ เปรตที่กอบโกยโกงกินทุกรูปแบบ เปรตที่ตระหนี่ถี่เหนียว เอารัดเอาเปรียบโหดร้ายใจดำต่อเพื่อนมนุษย์ และเห็นแก่ตัวสุดๆ มีปรากฏให้เห็นอยู่ทุกหัวระแหงในสังคม น่าจะถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะได้มาช่วยกันส่งเปรตเหล่านั้นกลับสู่นรกโดยพร้อมเพรียงกันสักครั้ง.