นโยบายการศึกษา “พงศ์เทพ” เหมาทำทุกเรื่อง ตั้งแต่นโยบายรัฐที่เร่งด่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาและอื่นๆ ที่ ศธ.ต้องเอี่ยว พร้อมเดินหน้านโยบายประชานิยม รับใบสั่งเพิ่ม 1 อ.2 ทุน อ้างเป้าหมายเดิม “ทักษิณ” ต้องการกระจายโอกาสให้เด็กยากจน ขณะที่ “เสริมศักดิ์” ให้นโยบายเอาใจกลุ่มครู ทั้งดูแลเรื่องเงินเดือน วิทยฐานะ และโครงการครูคืนถิ่น
วันนี้ (5 พ.ย.) เมื่อเวลา 07.50 น.ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เดินทางเข้าทำงานที่ ศธ.เป็นวันแรก และได้สักการะพระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์ สยามิศรจักรี สัฎฐีอนุสรณ์ ศึกษาทรรังสรรค์ พระพุทธรูปประจำ ศธ.ศาลพระภูมิเจ้าที่ และพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 จากนั้นได้เข้าได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ห้องทำงานของ รมว.ศึกษาธิการ เซ็นแฟ้มงาน โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ 5 องค์กรหลัก พร้อมด้วยหน่วยงานในกำกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ศธ.ให้การต้อนรับ
ต่อมาเวลา 09.00 น.นายพงศ์เทพ พร้อมด้วย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ได้เดินทางเข้ามายังห้องประชุมกระทรวงศึกษาฯ เพื่อรับฟังข้อมูล ศธ.และมอบนโยบายการดำเนินงานให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม โดย นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เสียงจากคนภายนอกยังไม่ค่อยพอใจคุณภาพการจัดการศึกษาของไทย ซึ่งยังมีปัญหาในเรื่องคุณภาพ จากผลประเมินระดับนานาชาติที่สำคัญ เช่น PISA นั้น พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จากประเทศที่ร่วมประเมิน 65 ประเทศ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อย่าง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น อยู่ใน 5 อันดับแรก ที่สำคัญ พบว่า เด็กไทยเรียนเยอะ ครูก็สอนเยอะแต่กลับรู้น้อยเครียดแทบตายจบออกไปไม่ได้อะไร ดังนั้น นโยบายทางการศึกษานั้น ตนจะให้ ศธ.นำนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วนที่เกี่ยวกับการศึกษามาขับเคลื่อนและรวมถึงนโยบายด้านอื่นๆ ที่ ศธ.ต้องเข้าไปมีบทบาทด้วย เช่น การเพิ่มบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่หน่วยงานผลิตไม่ใช่สาธารณสุขแต่เป็น ศธ.ฉะนั้นควรร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ในการขับเคลื่อน ขณะเดียวกัน นโยบายการศึกษาที่ดำเนินการมาแต่สมัย อดีต รมว.ศึกษาธิการ คนก่อนๆ ตนจะนำมาขับเคลื่อนให้เกิดความต่อเนื่องด้วย
นายพงศ์เทพ กล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายสำคัญที่ตนจะดำเนินการ ได้แก่ 1.การเร่งรัดพัฒนาคุณภาพการศึกษาและผู้ศึกษา จะต้องมีการปฏิรูปหลักสูตรทุกระดับให้เท่ากับโลกที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะต้องมีการปรับปรุงและต้องพัฒนาการเรียนทางด้านภาษาด้วย เพราะมีผลประเมินระดับนานาชาติ ที่ทำการประเมินประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ จำนวน 54 ประเทศ ผลปรากฎว่า ประเทศไทยมีความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ใน 5 อันดับสุดท้าย ฉะนั้น ต้องเร่งส่งเสริม นอกจากนี้ ต้องมีการปรับการผลิตกำลังคนให้ตรงกับอุปสงค์ภายในประเทศ เพราะหลายสาขาขาดแคลนบุคลากรอย่างหนัก เช่น แพทย์ อาชีวะ แต่หลายสาขาโดยเฉพาะด้านสังคมศาสตร์มีการผลิตบุคลากรออกมาจำนวนมาก ทั้งที่ไม่มีตำแหน่งงานรองรับได้อย่างเพียงพอ เช่น ครู ขณะเดียวกัน ประเทศไทยได้ขยายการลงทุนในต่างประเทศมีความต้องการบุคลากรที่จะทำงานในต่างประเทศได้ จึงต้องมีการผลิตบุคลากรประเภทนี้มารองรับ อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาครูรองรับและเน้นพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม สร้างจิตสำนึกสาธารณะให้แก่เด็กด้วยและมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนด้วย
นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า 2.จะให้เร่งขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมทุกคนโดยเฉพาะผู้ยากไร้ เด็กด้อยโอกาสและผู้พิการ ซึ่งในเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน โดยข้อเท็จจริงแล้วนั้นโครงการนี้ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องการให้โอกาสเด็กยากไร้แต่เรียนดีได้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศหรือต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้มีการปรับเปลี่ยนเป็นการคัดเด็กเก่งจากอำเภอมารับทุนซึ่งอาจทำให้เด็กยากไร้เสียโอกาสได้ เพราะฉะนั้น ตนกำลังมีแนวคิดที่จะให้ทุนเพิ่มอีก 1 ทุน เป็น 1 อำเภอ 2 ทุน โดยทุนหนึ่งสำหรับเด็กเก่งและอีกทุนสำหรับเด็กยากไร้ 3.ส่งเสริมการทำวิจัยที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ใน ศธ.ถูกตัดงบวิจัยลงส่วนหนึ่ง เพราะการวิจัยที่ทำไปนั้นไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้ามีการวิจัยที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อภาคส่วนต่างๆ ในสังคมไม่ว่าจะเป็นภาคเศรษฐกิจ หรือภาคสังคมแล้วก็จะมีเงินสนับสนุนการวิจัยไหลเข้ามามากมายได้ เพราะฉะนั้น จะให้ไปดูว่างานวิจัยที่ทำไว้บนหิ้งนั้นอันไหนนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ต้องนำมาปัดฝุ่นให้คนเห็นว่างานวิจัยที่ทำนำไปใช้ได้จริงและอาจต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ที่ทำงานวิจัยและผู้ใช้งานวิจัย
“นอกจาก 3 นโยบายข้างต้นแล้ว จะเร่งรัดนโยบายต่างๆ เช่น นโยบายนำสันติสุขสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติด กองทุนตั้งตัวได้ การปฏิรูปการเมืองที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมและการเร่งรัดใช้งบประมาณ ไม่ให้มีสภาพเงินค้างท่อการเร่งรัดใช้งบประมาณนั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่การใช้งบประมาณการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ จะต้องมีความโปร่งใส ไม่มีทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ย้ำให้ดูแลเรื่องนี้อย่างมากไม่ให้เกิดการคอร์รัปชัน โดยเฉพาะการซื้อขายตำแหน่งซึ่งจะเป็นต้นเหตุให้เกิดการทุจริตในด้านอื่นๆ ตามมา อย่างไรก็ตาม เมื่อแต่ละหน่วยงานรับทราบนโยบายแล้วก็ขอให้ไปดำเนินการเตรียมแผนงานและนำมาเสนอตนและ รมช.ศึกษาธิการ ได้ในสัปดาห์หน้า” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
ด้าน นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า เนื่องจากนายพงศ์เทพ เป็นนักกฎหมาย ดังนั้น จึงจะเข้ามาผลักดันกฎหมายต่างๆ ที่ยังค้างอยู่ เพื่อให้ครูมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไข พ.ร.บ.เงินเดือนเงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครู ที่เงินเดือนเต็มขั้น ให้เงินเดือนไหลลื่นได้สะดวกขึ้น โดยให้สามารถไปรับเงินเดือนในอันดับขั้นต่อไปได้ อาทิ อันดับ คศ.2 ที่เงินเดือนเต็มขั้นให้รับเงินเดือนในอันดับ คศ.3 ได้ ซึ่งทราบว่าขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา อีกเรื่องคือเดินหน้าโครงการครูคืนถิ่น ซึ่ง ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.ศึกษาธิการ ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งถ้าอะไรที่ยังไม่ดีคงต้องมาปรับปรุง เพื่อให้ครูได้มีโอกาสกลับไปดูแลครอบครัว ตามเป้าหมายของโครงการ
“จะติดตามการขอเลื่อนวิทยฐานะของครูว่าจะมีวิธีอย่างไร ที่จะมีทางเลือกให้ผลงานของครูได้รับการพิจารณาเร็วขึ้น ซึ่งปัญหาอาจเป็นเพราะมีผู้อ่านไม่เพียงพอ ต้องไปดูว่าจะมีทางเลือกอย่างไร เพื่อให้ครูได้เลื่อนวิทยฐานะเร็วขึ้น เพราะบางคนส่งไปนานแล้วจนใกล้จะเกษียณอายุราชการแต่ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณา ส่วนเรื่องเด็กนักเรียนยากให้เน้นเรื่องคุณธรรมจริยธรรมควบคู่ไปกับการเรียนการสอน ซึ่งตรงนี้อาจต้องมาดูว่า จะต้องนำหลักสูตรหน้าที่พลเมืองกลับมาใช้หรือไม่ และจะนำกลับมาใช้อย่างไร” นายเสริมศักดิ์ กล่าว