สธ.เตือน ดอกไม้ไฟระดับเสียงกระแทกสูงกว่า 130 เดซิเบล เอ เล่นมากๆ เสี่ยงหูตึงถาวร ส่วนไฟเย็นมีความร้อนสูงเกือบ 1,000 องศาเซลเซียส ทำผิวไหม้ ตาบอดได้ แนะคุมเข้มคืนลอยกระทงหวังลดอุบัติเหตุ
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงอันตรายจากการเล่นดอกไม้ไฟ ว่า ในปีที่ผ่านๆ มา ถึงแม้ว่าบางหน่วยงานจะมีมาตรการควบคุมการเล่นดอกไม้ไฟออกมาบังคับใช้ แต่ก็มีข่าวการได้รับบาดเจ็บแทบทุกปี เนื่องจากยังมีประชาชนบางกลุ่มที่เล่นดอกไม้ไฟโดยไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่คึกคะนอง ชอบเล่นผาดโผน เล่นไม่ถูกวิธี และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อภัยของดอกไม้ไฟ ทั้งเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายแก่ร่างกายและความเสียหายต่อทรัพย์สิน
นพ.เจษฎา กล่าวอีกว่า ดอกไม้ไฟนั้น ประกอบด้วย สารเคมี 18 ชนิด โดยสารเคมีที่ใช้เป็นตัวเติมออกซิเจน เพื่อช่วยในการเผาไหม้ เช่น สารประกอบไนเตรต คลอเรต โปแตสเซียม แบเรียม สารเคมีที่ใช้เป็นตัวเร่ง และควบคุมความเร็วในการเผาไหม้ให้เกิดความร้อน เช่น ผงกำมะถัน แมกนีเซียม สังกะสี สารเคมีที่ทำให้ประกายไฟของดอกไม้ไฟเป็นสีต่างๆ และสารเคมีที่ช่วยในการเกาะตัวทำให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น แป้งและเชลแล็ก เป็นต้น สารเคมีเหล่านี้จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้หากมีการสัมผัสโดยตรงบริเวณผิวหนังหรือการสูดดมเอาสารเคมีที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ก่อให้เกิดอันตรายตามแต่ละชนิดของสารเคมี
“สารประกอบแบเรียม ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหู ตา คอ จมูก และผิวหนัง เกิดโรคลำไส้อักเสบ กล้ามเนื้อเกร็ง ชีพจรเต้นช้า สารตะกั่วและทองแดงทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เกิดแผลที่โพรงจมูกได้ ดอกไม้ไฟที่มีเสียงดังมากๆ ส่งผลกระทบต่อการได้ยิน ดอกไม้ไฟชนิดที่ก่อให้เกิดเสียงดังทุกชนิดจะมีระดับเสียงกระแทกสูงกว่า 130 เดซิเบล เอ สูงกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ คือ 85 เดซิเบล เอ จะทำให้เกิดอาการหูตึงชั่วคราว และถ้าได้ยินติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้หูตึงถาวรได้ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตหรือส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้หงุดหงิด นอนไม่หลับ สำหรับไฟเย็นจะมีความร้อนที่อุณหภูมิ 649-983 องศาเซลเซียส สามารถทำให้ผิวหนังไหม้ หรือตาบอดได้ หากขาดความระมัดระวังที่ดี” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
นพ.เจษฎา กล่าวต่อไปว่า การป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ต้องระวังไม่ให้ดอกไม้ไฟได้รับความร้อน หรืออยู่ใกล้แหล่งที่ก่อเกิดประกายไฟ จึงควรงดเล่นดอกไม้ไฟโดยเด็ดขาด ไม่ควรเห็นแก่ความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว ควรหันมาให้ความร่วมมือกับทางราชการที่กำหนดให้มีมาตรการคุมเข้มในเรื่องการเล่นดอกไม้ไฟอย่างจริงจัง ซึ่งหากสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการสืบสานประเพณีการลอยกระทงที่ดีงามของไทยแล้ว ยังช่วยลดอุบัติเหตุและโศกนาฏกรรมที่เกิดจากการเล่นดอกไม้ไฟอีกด้วย
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงอันตรายจากการเล่นดอกไม้ไฟ ว่า ในปีที่ผ่านๆ มา ถึงแม้ว่าบางหน่วยงานจะมีมาตรการควบคุมการเล่นดอกไม้ไฟออกมาบังคับใช้ แต่ก็มีข่าวการได้รับบาดเจ็บแทบทุกปี เนื่องจากยังมีประชาชนบางกลุ่มที่เล่นดอกไม้ไฟโดยไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่คึกคะนอง ชอบเล่นผาดโผน เล่นไม่ถูกวิธี และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อภัยของดอกไม้ไฟ ทั้งเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายแก่ร่างกายและความเสียหายต่อทรัพย์สิน
นพ.เจษฎา กล่าวอีกว่า ดอกไม้ไฟนั้น ประกอบด้วย สารเคมี 18 ชนิด โดยสารเคมีที่ใช้เป็นตัวเติมออกซิเจน เพื่อช่วยในการเผาไหม้ เช่น สารประกอบไนเตรต คลอเรต โปแตสเซียม แบเรียม สารเคมีที่ใช้เป็นตัวเร่ง และควบคุมความเร็วในการเผาไหม้ให้เกิดความร้อน เช่น ผงกำมะถัน แมกนีเซียม สังกะสี สารเคมีที่ทำให้ประกายไฟของดอกไม้ไฟเป็นสีต่างๆ และสารเคมีที่ช่วยในการเกาะตัวทำให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น แป้งและเชลแล็ก เป็นต้น สารเคมีเหล่านี้จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้หากมีการสัมผัสโดยตรงบริเวณผิวหนังหรือการสูดดมเอาสารเคมีที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ก่อให้เกิดอันตรายตามแต่ละชนิดของสารเคมี
“สารประกอบแบเรียม ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหู ตา คอ จมูก และผิวหนัง เกิดโรคลำไส้อักเสบ กล้ามเนื้อเกร็ง ชีพจรเต้นช้า สารตะกั่วและทองแดงทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เกิดแผลที่โพรงจมูกได้ ดอกไม้ไฟที่มีเสียงดังมากๆ ส่งผลกระทบต่อการได้ยิน ดอกไม้ไฟชนิดที่ก่อให้เกิดเสียงดังทุกชนิดจะมีระดับเสียงกระแทกสูงกว่า 130 เดซิเบล เอ สูงกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ คือ 85 เดซิเบล เอ จะทำให้เกิดอาการหูตึงชั่วคราว และถ้าได้ยินติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้หูตึงถาวรได้ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตหรือส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้หงุดหงิด นอนไม่หลับ สำหรับไฟเย็นจะมีความร้อนที่อุณหภูมิ 649-983 องศาเซลเซียส สามารถทำให้ผิวหนังไหม้ หรือตาบอดได้ หากขาดความระมัดระวังที่ดี” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
นพ.เจษฎา กล่าวต่อไปว่า การป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ต้องระวังไม่ให้ดอกไม้ไฟได้รับความร้อน หรืออยู่ใกล้แหล่งที่ก่อเกิดประกายไฟ จึงควรงดเล่นดอกไม้ไฟโดยเด็ดขาด ไม่ควรเห็นแก่ความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว ควรหันมาให้ความร่วมมือกับทางราชการที่กำหนดให้มีมาตรการคุมเข้มในเรื่องการเล่นดอกไม้ไฟอย่างจริงจัง ซึ่งหากสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการสืบสานประเพณีการลอยกระทงที่ดีงามของไทยแล้ว ยังช่วยลดอุบัติเหตุและโศกนาฏกรรมที่เกิดจากการเล่นดอกไม้ไฟอีกด้วย
