สพฐ.เตรียมคัดเลือก 60 ร.ร.ดันให้มีฐานะนิติบุคคล คาดใช้รูปแบบ 1 ร.ร.2 ระบบ มาบริหาร ยันไม่กระทบข้าราชการเดิม และสิทธิเด็กที่เคยได้ยังได้เช่นเดิม พร้อมหนุนงบประมาณเป็นก้อนไปบริหารจัดการและเปิดทางระดมทรัพยากรเพิ่มเติมได้
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาการบริหารจัดการโรงเรียนนิติบุคลของ สพฐ.เพื่อให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ และสามารถระดมทรัพยากรต่างๆ จากชุมชน ภาคเอกชน เข้ามาได้ โดยในปีนี้ สพฐ.จะคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการโรงเรียนนิติบุคลจำนวน 60 โรง แบ่งเป็น กลุ่มโรงเรียนการศึกษาภาคบังคับ 30 โรง และโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 30 โรง ซึ่งได้มอบให้สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.ไปกำหนดหลักเกณฑ์ ตัวชี้วัด และวิธีการประเมินเพื่อดูความพร้อมและศักยภาพของโรงเรียนในการ ที่จะพึ่งพาตนเองได้ มีความสามารถในการระดมทรัพยากรต่างๆเพื่อพัฒนาคุณภาพอย่างไรโดยแนวทางการ บริหารโรงเรียนนิติบุคคลจะเป็นรูปแบบ 1 โรงเรียน 2 ระบบ และไม่ต้องรอแก้กฎหมายเพื่อให้ออกเป็นนิติบุคคล
สำหรับรูปแบบ 1 โรงเรียน 2 ระบบ ที่จะนำมาใช้กับโรงเรียนนำร่องนิติบุคคล หมายความว่า ในส่วนของบุคลากรส่วนที่เป็น ข้าราชการจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรก็ยังเป็นข้าราชการเหมือนเดิม แต่บุคลากรอีกส่วนหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญในวิชาการที่โรงเรียนต้องการ จะเป็นการจัดจ้างเป็นวิทยากรพิเศษของโรงเรียนเข้ามาเสริม เช่น ครูสอนภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ เป็นต้น ซึ่งองค์ประกอบของบุคลากรจะขึ้นกับการระดมทรัพยากร
“งบประมาณจะมีในส่วนที่รัฐจัดสรรให้และงบประมาณที่ได้มา จากการระดมทรัพยากร ฉะนั้นโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการนิติบุคคลในปีนี้ สพฐ.จะจัดระบบการอุดหนุนเป็นรูปแบบพิเศษด้วยงบประมาณที่เป็นก้อน โดยจะไปศึกษากฎระเบียบว่าทำได้หรือ ซึ่งหากดำเนินการลักษณะดังกล่าวได้จะทำให้โรงเรียนคล่องตัวในการบริหาร จัดการมากขึ้นไม่ต้องเบิกจ่ายหลายขั้นตอน และหลังจากที่โรงเรียนออกเป็นนิติบุคคลแล้วสิ่งใดที่นักเรียน และโรงเรียนเคยได้รับก็ยังได้รับสิทธิเหมือนเดิมไม่กระทบอะไร ส่วนการเรียกเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มนั้นเป็นเงื่อนไขที่เปิดช่องทางไว้ เช่น หากโรงเรียนมีห้องเรียน English Program สามารถเรียกเก็บตามระเบียบที่กำหนดไว้ ระบบการรับนักเรียนยังอยู่ภายใต้แนวทางของ สพฐ.เพราะมีระเบียบเรื่องของการรับนักเรียนห้องเรียนพิเศษ” นายชินภัทร กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม สพฐ.มีความคาดหวังว่าจะให้โรงเรียนนิติบุคคลเหล่านี้มีรูปแบบเดียวกับโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ แต่ก็ต้องดูว่ากฎระเบียบว่าจะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาการบริหารจัดการโรงเรียนนิติบุคลของ สพฐ.เพื่อให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ และสามารถระดมทรัพยากรต่างๆ จากชุมชน ภาคเอกชน เข้ามาได้ โดยในปีนี้ สพฐ.จะคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการโรงเรียนนิติบุคลจำนวน 60 โรง แบ่งเป็น กลุ่มโรงเรียนการศึกษาภาคบังคับ 30 โรง และโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 30 โรง ซึ่งได้มอบให้สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.ไปกำหนดหลักเกณฑ์ ตัวชี้วัด และวิธีการประเมินเพื่อดูความพร้อมและศักยภาพของโรงเรียนในการ ที่จะพึ่งพาตนเองได้ มีความสามารถในการระดมทรัพยากรต่างๆเพื่อพัฒนาคุณภาพอย่างไรโดยแนวทางการ บริหารโรงเรียนนิติบุคคลจะเป็นรูปแบบ 1 โรงเรียน 2 ระบบ และไม่ต้องรอแก้กฎหมายเพื่อให้ออกเป็นนิติบุคคล
สำหรับรูปแบบ 1 โรงเรียน 2 ระบบ ที่จะนำมาใช้กับโรงเรียนนำร่องนิติบุคคล หมายความว่า ในส่วนของบุคลากรส่วนที่เป็น ข้าราชการจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรก็ยังเป็นข้าราชการเหมือนเดิม แต่บุคลากรอีกส่วนหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญในวิชาการที่โรงเรียนต้องการ จะเป็นการจัดจ้างเป็นวิทยากรพิเศษของโรงเรียนเข้ามาเสริม เช่น ครูสอนภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ เป็นต้น ซึ่งองค์ประกอบของบุคลากรจะขึ้นกับการระดมทรัพยากร
“งบประมาณจะมีในส่วนที่รัฐจัดสรรให้และงบประมาณที่ได้มา จากการระดมทรัพยากร ฉะนั้นโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการนิติบุคคลในปีนี้ สพฐ.จะจัดระบบการอุดหนุนเป็นรูปแบบพิเศษด้วยงบประมาณที่เป็นก้อน โดยจะไปศึกษากฎระเบียบว่าทำได้หรือ ซึ่งหากดำเนินการลักษณะดังกล่าวได้จะทำให้โรงเรียนคล่องตัวในการบริหาร จัดการมากขึ้นไม่ต้องเบิกจ่ายหลายขั้นตอน และหลังจากที่โรงเรียนออกเป็นนิติบุคคลแล้วสิ่งใดที่นักเรียน และโรงเรียนเคยได้รับก็ยังได้รับสิทธิเหมือนเดิมไม่กระทบอะไร ส่วนการเรียกเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มนั้นเป็นเงื่อนไขที่เปิดช่องทางไว้ เช่น หากโรงเรียนมีห้องเรียน English Program สามารถเรียกเก็บตามระเบียบที่กำหนดไว้ ระบบการรับนักเรียนยังอยู่ภายใต้แนวทางของ สพฐ.เพราะมีระเบียบเรื่องของการรับนักเรียนห้องเรียนพิเศษ” นายชินภัทร กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม สพฐ.มีความคาดหวังว่าจะให้โรงเรียนนิติบุคคลเหล่านี้มีรูปแบบเดียวกับโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ แต่ก็ต้องดูว่ากฎระเบียบว่าจะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่
