แพทย์ผิวหนังเตือน ฉีดน้ำเกลือเข้าร่างกาย แม้ไม่มีอันตราย แต่หากน้ำเกลือมีความเข้มเกินไป เสี่ยงเนื้อตายได้ โดยเฉพาะการฉีดบริเวณหน้าผาก มีโอกาสติดเชื้อ ส่งผลเส้นประสาทตาอัมพาต ตาเหล่ หากติดเชื้อที่สมองมีสิทธิถึงตาย เตือนโจ๋ไทยอย่าเลียนแบบญี่ปุ่น เพราะเป็นเพียงแฟชั่น เรียกร้องความสนใจ ไม่คุ้มกับอันตรายที่จะเกิดขึ้น
พล.ต.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังประเทศไทย กล่าวถึงกรณีวัยรุ่นญี่ปุ่นที่นิยมแปลงโฉมด้วยการฉีดน้ำเกลือเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณหน้าผาก และใช้นิ้วมือกดให้เป็นรอยบุ๋มตรงกลาง ซึ่งจะให้ผลอยู่นานราว 16-24 ชั่วโมง ก่อนที่น้ำเกลือจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ว่า การฉีดน้ำเกลือเข้าร่างกาย ปกติแล้วไม่มีอันตราย เนื่องจากน้ำเกลือเป็นสารที่ละลายหายไปได้ แม้จะเกิดการรั่วไหลของน้ำเกลือเข้าไปในหลอดเลือดก็ตาม เพราะน้ำเกลือไม่ส่งผลให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย แต่หากฉีดน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นมากเกินไป อาจส่งผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นแผลและตายได้
“ทางการแพทย์มีกระบวนการฉีดสารละลายที่มีความเข้มข้นสูง (Hypertonic Solution) เพื่อทำให้เนื้อตาย หรือหลุดลอกออกไป ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเกิดจากสารละลายที่มีความเข้มข้นกว่าสารในร่างกาย ทำให้เกิดการออสโมซิสของน้ำออกไปจากเซลล์ ทำให้เซลล์แฟบลง เหี่ยวลง และตายได้ ดังนั้น หากการฉีดน้ำเกลือเข้าไปใต้ผิวหนังหากมีความเข้มข้นของน้ำเกลือมากกว่าร่างกาย อาจมีความเสี่ยงที่ทำให้เนื้อบริเวณนั้นตายได้” นายก ส.แพทย์ผิวหนังฯ กล่าว
พล.ต.นพ.กฤษฎา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ผู้ฉีดน้ำเกลือให้ถือว่ามีความผิด เนื่องจากผู้ฉีดไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ สารที่ใชฉีดไม่ได้มีการรับรอง และสถานที่ที่ใช้ฉีดไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเครื่องมือช่วยชีวิต ผู้รับการฉีดต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าการฉีดอะไรเข้าสู่ร่างกาย หากเกิดความผิดพลาดอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ด้าน ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การฉีดน้ำเกลือจะทำให้เนื้อบวมชั่วคราว ซึ่งไมมีอันตรายใดๆ แม้จะเกิดการผิดพลาดขึ้นระหว่างฉีด แต่ปัญหาแทรกซ้อนที่มีโอกาสเกิดขึ้น คือ การติดเชื้อระหว่างการฉีด โดยเฉพาะการติดเชื้อบริเวณหน้าผากหรือโคนจมูก เชื้อโรคจะเข้าไปทางหลอดเลือดดำ และไปอยู่ที่แอ่งเลือดดำใต้สมอง (Cavernous Sinus) ซึ่งเป็นศูนย์รวมเส้นประสาท การติดเชื้อบริเวณดังกล่าวถือว่าอันตรายมาก อาทำให้เกิดโรค Cavernous Sinus Thrombosis ส่งผลให้เส้นประสาทตาเป็นอัมพาต กล้ามเนื้อหยุดทำงาน และเกิดอาการตาเหล่ขึ้นได้ นอกจากนี้ การติดเชื้อบริเวณแอ่งเลือดดำใต้สมองรักษายากมาก ต้องให้ยาเพียงอย่างเดียว หากไม่หายก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“การฉีดสารเข้าร่างกาย ถ้าทำไม่เป็นหรือทำเองก็เหมือนการฉีดเชื้อโรคเข้าร่างกาย หากติดเชื้อบริเวณผิวหนังสามารถรักษาได้ ไม่ยุ่งยากเท่าไร แต่หากฉีดที่หน้าผากแล้วเชื้อติดเขาไปในสมองเป็นเรื่องใหญ่มาก มีสิทธิถึงตายได้ การฉีดสารเข้าร่างกายเป็นอันตรายประเภทที่ถ้าเกิดก็เกิดเลย แต่หากไม่เกิดก็ไม่เกิด” ผศ.นพ.ถนอม กล่าว
ผศ.นพ.ถนอม กล่าวอีกว่า การฉีดสารต่างๆ เข้าสู่ร่างกายเป็นเรื่องที่นิยมกันชั่วคราว ตอนเริ่มทำใหม่ๆ ปัญหาที่เกิดจะไม่เยอะ แต่เมื่อคนเริ่มทำเยอะปัญหาจะตามมา เหมือนการฉีดฟิลเลอร์ที่เมื่อคนเริ่มหันมาฉีดมากขึ้น ก็พบว่าทำให้เกิดตาบอดได้ อย่างไรก็ตาม การฉีดดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ เพราะเป็นเพียงแฟชั่นตัวประหลาด เรียกร้องความสนใจ ไม่คุ้มกับความเสี่ยงในการเปิดช่องให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย