เพื่อไทย ร้อง ป.ป.ช.สอบ รัฐบาลมาร์ค เอี่ยวทุจริต ขรก.ก.ศึกษาธิการ ด้านเครือข่ายต้านโกง เผย รมต.“ส.” หัวขบวนล้วงลูก ผอ.สกสค.
เมื่อเวลา 10.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถ.พิษณุโลก นายสิงห์ทอง บัวชุม ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะคณะทำงานสำนักงานปราบโกง พรรคเพื่อไทย เดินทางเข้าไปยื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.กรณีขอให้ดำเนินคดีโดยการสืบสวนสอบสวนความไม่โปร่งใสของโครงการฌาปนกิจกิจสงเคราะห์เพื่อช่วยครูและบุคลากรทางการศึกษา (ชพค.6) ที่ดำเนินการโดยผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และกรรมการ สกสค.ที่มีทรัพย์สิน และเงินจำนวนมาก เช่น บ้าน รถยนต์ ที่ดิน
นายสิงห์ทอง กล่าวว่า ผู้บริหารฝ่ายการเมือง ในสมัยของ รัฐบาล อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นผู้กำกับดูแล สกสค.อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน เกี่ยวกับบริษัทประกันชีวิต ทำให้ครูเสียผลประโยชน์เป็นเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะเบี้ยประกัน 100 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทประกันภัยจากต่างประเทศรับเบี้ยประกันช่วงจริง 55 เปอร์เซ็นต์ คุ้มครองเต็มจำนวนแล้ว ส่วนเงินประกันภัยที่หายไปประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ กลับไปเข้ากระเป๋าของบริษัทประกันภัย ในประเทศที่มีการส่งต่อกันเป็นทอดๆ ในรูปของเงิน ส่วนลด หรือค่าคอมมิชชัน เสมือนเป็นเงินกินเปล่าจากครู ทำให้ครูต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันแพงเกินจริงถึงประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับครูถูกโกงเบียดบังเงินไปจำนวนมาก ข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการเสียค่าโสหุ้ย 10 เปอร์เซ็นต์ จำนวนเงินที่หายไปเหลือ 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้ได้รับประโยชน์ ภายใน 15 เปอร์เซ็นต์ คือ สกสค.5 เปอร์เซ็นต์ ฝ่ายการเมือง 5 เปอร์เซ็นต์ และธนาคาร 5 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งบริษัทประกันภัยอีก 20 เปอร์เซ็นต์
“จากข้อเท็จจริงโครงการ ชพค.1-4 ให้กู้คนละ 2 แสนบาท ส่วนโครงการที่เกิดปัญหา คือ ชพค.6 ให้กู้คนละ 1.2 ล้านบาท หักเบี้ยประกัน 6.9 หมื่นบาท จำนวนผู้กู้โครงการ 1-5 โดยในกรณีที่มีผู้กู้ 10,000 คน หักเบี้ยประกัน 1.7 แสนบาท เป็นจำนวนเงิน 1.7 พันล้านบาทบาท ถ้ามีคนกู้ 1 แสนคน เป็นจำนวนเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท ถ้าจำนวนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ต่างประเทศรับประกันช่วง 55 เปอร์เซ็นต์ ค่าโสหุ้ย 10 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 35 เปอร์เซ็นต์ เป็นจำนวนเงิน 6,000 ล้านบาท ความไม่ชอบมาพากล และความไม่โปรงใสของผู้บริหารฝ่ายการเมืองปี 2552-2553 รับผลประโยชน์ 30 ล้านบาท ซึ่งในช่วงดังกล่าว มี นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” นายสิงห์ทอง กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการ สกสค.ได้กำหนดระเบียบวาระการประชุมในวันนี้ (11 ก.ย.) โดยมีวาระการประชุมที่สำคัญ คือ พิจารณาแต่งตั้ง นายสมมาตร์ มีศิลป์ ดำรงตำแหน่ง ผอ.การค้าของ สกสค.ทั้งนี้ มีรายงานว่า เมื่อวาน (10 ก.ย.) ที่ผ่านมา นายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระเครือข่ายสมัชชาคุณธรรมธรรมแห่งชาติ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาคประชาชน ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีให้ระงับหรือยับยั้งการประชุมของกรรมการ สกสค.ที่กระทำมิชอบด้วยกฎหมาย
นายสมคิด กล่าวว่า คณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่ง ผอ.การค้าของ สกสค.โดย นายอเนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผอ.ใหญ่ อสมท และหรือ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้อนุญาตให้ นายสมมาตร์ มีศิลป์ ที่ถูกคำสั่งเลิกจ้าง หรือไล่ออก ซึงเป็นบุคคลมีคุณสมบัติต้องห้าม ให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกดำรงตำแหน่ง ผอ.การค้าของ สกสค.โดยการกระทำดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมาย ที่มีการเรียกรับผลประโยชน์ในการแต่งตั้ง อย่างไรก็ตาม นายสมคิด ได้ทำเอกสารเพื่อดำเนินการถอดถอน นายสุชาติ ธาดาดำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ ต่อคณะกรรมการป.ป.ช.ต่อไป
นอกจากนี้ นายสมคิด ยังเปิดเผยว่า มีขบวนการปล้นตำแหน่ง ผอ.การค้าของ สกสค.โดยระบุว่า มีรัฐมนตรีชื่อ “ส” เป็นแกนนำ และมีแนวร่วมเป็น ส.ส.สอบตก ทั้ง กทม.ภาคกลาง และภาคเหนือ ของพรรคเพื่อไทย ที่มีชื่อย่อ “ส” 3 คน โดยประสานกับนายทุนใหญ่บริษัทประกันภัยที่มีชื่อย่อ “น” ซึ่งดำเนินการเป็นเครือข่ายที่มีจำนวนเงินหมุนเวียนหลักร้อยล้านบาท
เมื่อเวลา 10.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถ.พิษณุโลก นายสิงห์ทอง บัวชุม ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะคณะทำงานสำนักงานปราบโกง พรรคเพื่อไทย เดินทางเข้าไปยื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.กรณีขอให้ดำเนินคดีโดยการสืบสวนสอบสวนความไม่โปร่งใสของโครงการฌาปนกิจกิจสงเคราะห์เพื่อช่วยครูและบุคลากรทางการศึกษา (ชพค.6) ที่ดำเนินการโดยผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และกรรมการ สกสค.ที่มีทรัพย์สิน และเงินจำนวนมาก เช่น บ้าน รถยนต์ ที่ดิน
นายสิงห์ทอง กล่าวว่า ผู้บริหารฝ่ายการเมือง ในสมัยของ รัฐบาล อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นผู้กำกับดูแล สกสค.อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน เกี่ยวกับบริษัทประกันชีวิต ทำให้ครูเสียผลประโยชน์เป็นเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะเบี้ยประกัน 100 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทประกันภัยจากต่างประเทศรับเบี้ยประกันช่วงจริง 55 เปอร์เซ็นต์ คุ้มครองเต็มจำนวนแล้ว ส่วนเงินประกันภัยที่หายไปประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ กลับไปเข้ากระเป๋าของบริษัทประกันภัย ในประเทศที่มีการส่งต่อกันเป็นทอดๆ ในรูปของเงิน ส่วนลด หรือค่าคอมมิชชัน เสมือนเป็นเงินกินเปล่าจากครู ทำให้ครูต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันแพงเกินจริงถึงประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับครูถูกโกงเบียดบังเงินไปจำนวนมาก ข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการเสียค่าโสหุ้ย 10 เปอร์เซ็นต์ จำนวนเงินที่หายไปเหลือ 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้ได้รับประโยชน์ ภายใน 15 เปอร์เซ็นต์ คือ สกสค.5 เปอร์เซ็นต์ ฝ่ายการเมือง 5 เปอร์เซ็นต์ และธนาคาร 5 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งบริษัทประกันภัยอีก 20 เปอร์เซ็นต์
“จากข้อเท็จจริงโครงการ ชพค.1-4 ให้กู้คนละ 2 แสนบาท ส่วนโครงการที่เกิดปัญหา คือ ชพค.6 ให้กู้คนละ 1.2 ล้านบาท หักเบี้ยประกัน 6.9 หมื่นบาท จำนวนผู้กู้โครงการ 1-5 โดยในกรณีที่มีผู้กู้ 10,000 คน หักเบี้ยประกัน 1.7 แสนบาท เป็นจำนวนเงิน 1.7 พันล้านบาทบาท ถ้ามีคนกู้ 1 แสนคน เป็นจำนวนเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท ถ้าจำนวนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ต่างประเทศรับประกันช่วง 55 เปอร์เซ็นต์ ค่าโสหุ้ย 10 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 35 เปอร์เซ็นต์ เป็นจำนวนเงิน 6,000 ล้านบาท ความไม่ชอบมาพากล และความไม่โปรงใสของผู้บริหารฝ่ายการเมืองปี 2552-2553 รับผลประโยชน์ 30 ล้านบาท ซึ่งในช่วงดังกล่าว มี นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” นายสิงห์ทอง กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการ สกสค.ได้กำหนดระเบียบวาระการประชุมในวันนี้ (11 ก.ย.) โดยมีวาระการประชุมที่สำคัญ คือ พิจารณาแต่งตั้ง นายสมมาตร์ มีศิลป์ ดำรงตำแหน่ง ผอ.การค้าของ สกสค.ทั้งนี้ มีรายงานว่า เมื่อวาน (10 ก.ย.) ที่ผ่านมา นายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระเครือข่ายสมัชชาคุณธรรมธรรมแห่งชาติ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาคประชาชน ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีให้ระงับหรือยับยั้งการประชุมของกรรมการ สกสค.ที่กระทำมิชอบด้วยกฎหมาย
นายสมคิด กล่าวว่า คณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่ง ผอ.การค้าของ สกสค.โดย นายอเนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผอ.ใหญ่ อสมท และหรือ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้อนุญาตให้ นายสมมาตร์ มีศิลป์ ที่ถูกคำสั่งเลิกจ้าง หรือไล่ออก ซึงเป็นบุคคลมีคุณสมบัติต้องห้าม ให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกดำรงตำแหน่ง ผอ.การค้าของ สกสค.โดยการกระทำดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมาย ที่มีการเรียกรับผลประโยชน์ในการแต่งตั้ง อย่างไรก็ตาม นายสมคิด ได้ทำเอกสารเพื่อดำเนินการถอดถอน นายสุชาติ ธาดาดำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ ต่อคณะกรรมการป.ป.ช.ต่อไป
นอกจากนี้ นายสมคิด ยังเปิดเผยว่า มีขบวนการปล้นตำแหน่ง ผอ.การค้าของ สกสค.โดยระบุว่า มีรัฐมนตรีชื่อ “ส” เป็นแกนนำ และมีแนวร่วมเป็น ส.ส.สอบตก ทั้ง กทม.ภาคกลาง และภาคเหนือ ของพรรคเพื่อไทย ที่มีชื่อย่อ “ส” 3 คน โดยประสานกับนายทุนใหญ่บริษัทประกันภัยที่มีชื่อย่อ “น” ซึ่งดำเนินการเป็นเครือข่ายที่มีจำนวนเงินหมุนเวียนหลักร้อยล้านบาท