เตือนหนุ่มนิยมทาสารหล่อลื่นบนถุงยางอนามัย โดยเฉพาะสารประเภท oil-based ทั้งบอดี้โลชั่น วาสลีน น้ำมันพืช หลังวิจัยพบ แค่ 5 นาที ทำถุงยางอนามัยแตกเร็ว หมดประสิทธิภาพป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
จากการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 20 ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ มีการนำเสนอผลงานวิจัยของบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์กว่า 140 เรื่อง โดย น.ส.วันเพ็ญ ดวงสว่าง นักฟิสิกส์รังสีปฏิบัติการ สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการศึกษา เรื่อง “ผลกระทบของการทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นชนิดต่างๆ ที่มีผลต่อการเสื่อมคุณภาพ และการแตกของถุงยางอนามัย” โดยพิจารณาความเหนียวและความยืดตัวของยางจากค่าความดันและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัย วิธีทดสอบตาม มอก.625-2548 ด้วยการกำหนดชุดควบคุมเป็นถุงยางอนามัยที่ไม่ทาสารหล่อลื่นเพิ่ม ชุดทดลองเป็นถุงยางอนามัยที่ทาสารหล่อลื่นแต่ละชนิดเพิ่ม แยกเป็นสารหล่อลื่นประเภทน้ำ (water-based) ได้แก่ เค-วาย เจลหล่อลื่นสูตรน้ำ และสารหล่อลื่นประเภทน้ำมัน (oil-based) ได้แก่ เบบี้ออยล์ บอดี้โลชั่น วาสลีน ปิโตรเลียม เจลลี่ และน้ำมันพืช
นางวันเพ็ญ กล่าวอีกว่า ในการทดลองได้ทาเพิ่มสารหล่อลื่นบนถุงยางอนามัยทิ้งไว้เป็นเวลา 5, 10, 30 และ 45 นาที ตามลำดับแล้วนำไปทดสอบด้วยเครื่องทดสอบความดันและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัย พบว่า ค่าเฉลี่ยความดันขณะแตกและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัยทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นประเภท water-based มีค่าใกล้เคียงกับถุงยางอนามัยชุดควบคุม และไม่พบจำนวนชิ้นบกพร่องในทุกช่วงเวลา ไม่มีผลทำให้เกิดความเสื่อมของถุงยางอนามัย สำหรับถุงยางอนามัยที่ทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นประะเภท oil-based พบว่า ค่าเฉลี่ยความดันขณะแตก และปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัยมีค่าลดลง เห็นผลชัดเจนหลังทา 5 นาที โดยถุงยางอนามัยแตกเร็วขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับถุงยางอนามัยชุดควบคุม
“หากผู้ใช้ถุงยางอนามัยต้องการทาสารหล่อลื่นเพิ่ม จึงไม่ควรใช้สารหล่อลื่นประเภท oil-based กับถุงยางอนามัย ควรเลือกใช้สารหล่อลื่นประเภท water-based เท่านั้น เพราะการทาสารหล่อลื่นประเภท oil-based จะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพ ไม่สามารถใช้ป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ หากใช้ก็เสี่ยงต่อการติดโรคและการตั้งครรภ์” น.ส.วันเพ็ญ กล่าว