ป.ป.ส.เผยกลยุทธ์ขายยาไอซ์แบบใหม่ “เล็ก-โฆษณาปากต่อปาก กินแล้วสวย หุ่นดี” พบกลุ่มเด็กเสี่่ยงเสพยาพุ่ง 11 ล้านคน ครึ่งหนึ่งอยู่ใน กทม.จับมือ วธ.เปิดโครงการปล่อยของ 1 ให้เด็กผลิตหนังสั้นบอกวิธีป้องกัน แก้ปัญหายาเสพติดเผยแพร่สู่สังคม
วันนี้ (2 ก.ค.) ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) แถลงข่าวจัดโครงการปล่อยของ 1 ในหัวข้อ สังเวียนไอเดีย….น็อคไอซ์ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยนายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันเยาวชนไทยเรากำลังเจอกับปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดยาเสพติด พฤติกรรมทางเพศที่สุ่มเสี่ยง ความเสื่อมถอยด้านคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเด็ก ผู้ปกครอง ศาสนา สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน ภาคธุรกิจ ภาครัฐ จะต้องมีการทำงานแก้ปัญหาร่วมกัน โดยเฉพาะเด็กต้องเปิดพื้นที่ให้มีส่วนร่วมกิจกรรมในเชิงสร้างสรรค์ให้มากๆ เปิดโอกาสให้เด็กๆเหล่านั้น แสดงความคิดเห็นวิธีการชนะปัญหาทั้งเรื่องยาเสพติดได้อย่างไรในเวลาสั้นๆ ดังนั้น วธ.ได้ร่วมกับ ป.ป.ส.เปิดเวทีให้โอกาสนักเรียน นักศึกษา ได้ร่วมผลิตสื่อสร้างสรรค์เผยแพร่สู่สังคม เพื่อร่วมรณรงค์แก้ไขปัญหายาเสพติด
อย่างไรก็ตาม การใช้สื่อสมัยใหม่รณรงค์ เช่น หนังสั้น จะทำให้คนสนใจและเข้าใจปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ในขณะเดียวกัน วธ.ยังได้มีกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ในการทำหน้าที่ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของสื่อดี เพื่อขจัดสื่อร้ายให้มีในสังคมน้อยลง ที่สำคัญ จะมีการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนรู้เท่าทันสื่อ มีภูมิคุ้มกันในการใช้สื่ออย่างเหมาะสม
สำหรับกิจกรรมดังกล่าว จะเป็นการประกวดหนังสั้นมาก ความยาวไม่เกิน 1 นาที ภายใต้โจทย์ สังเวียนไอเดีย...น็อคไอซ์ แบ่งการประกวดเป็น 2 ระดับ คือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับ ปวช.นิสิตนักศึกษา ระดับอุดมศึกษา และระดับ ปวส.ทั้งประเภทบุคคลและทีมไม่เกิน 5 คน รับสมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 ก.ค.หรือดูรายละเอียด www.ปล่อยของ.net
ด้าน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการ ป.ป.ส.กล่าวว่า มีข้อมูลประมาณการผู้ติดยาเสพยาทั้งหมด 1,200,000 คน ซึ่งครึ่งหนึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ป.ป.ส.มีหน้าที่ทำงานแก้ปัญหากับทุกหน่วยงาน ในการขับเคลื่อนแผนการแก้ปัญหายาเสพติดในระดับชาติ ทั้งทางด้านปราบปราม ป้องกัน โดยรัฐบาลนี้ได้ยกระดับการแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ขณะนี้เรามีเด็กในกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด 11 ล้านคน แบ่งเป็นอยู่ในโรงเรียน 9 ล้านคน นอกโรงเรียน 2 ล้านคน โดยเฉพาะเด็กที่ติดยาไอซ์มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และเริ่มเข้าสู่กระบวนการบำบัดอย่างจริงจัง
“ผมอยากบอกว่าพิษภัยของยาไอซ์รุนแรงกว่ายาบ้า 8-10 เท่า และการซื้อขายยาไอซ์มีกลยุทธ์ใหม่ๆ และแยบยลมาก เช่น การทำให้มีขนาดเล็กลง ผู้ขายใช้วิธีเพิ่มยอดขายโดยการบอกปากต่อปาก และโฆษณาชวนเชื่อว่าเสพแล้วหุ่นดี สวยขึ้น ความจริงยาไอซ์มีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทและร่างกาย ทำให้ประสาทหลอน ส่วนผลกระทบต่อร่างกายหากเสพไปภายใน 10 ปี ร่างกายจะแก่ลงมาก เสี่ยงเป็นโรคจิตสูง” พล.ต.อ.อดุลย์ ระบุ
