“สุชาติ” มึน “ศักดา” ตั้ง กก.สอบวินัยร้ายแรง ปลัด ศธ.ลับหลัง ยัวะ “ประแสง” ทำเกินคำสั่ง ส่งทนายส่วนตัวเช็กทำฝืนกฎหมายหรือไม่ ด้าน ปลัด ศธ.น้ำตาซึม เสียใจทำไมไม่เรียกชี้แจงก่อน สงสัยทำไมเลือกช่วงเวลาไป ตปท.
เมื่อเวลา 15.00 น. ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณี นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วย ศธ.ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 กรณีเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ภายใต้โครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือ ไทยเข้มแข็ง 2555 เกิดการสูญหายแต่กลับไม่ตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริง และยังมีการอนุมัติงบประมาณ 122.5 ล้านบาท ให้บริษัทเอกชนแทน โดยมี นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เป็นประธานว่า ตนได้รับรายงานผ่านทาง เอสเอ็มเอส ว่า นายประแสง มงคลศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ไปแจ้งดำเนินคดีกับ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในข้อหาดังกล่าว และต่อมาก็ได้ทราบว่า นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาฯ ได้ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง กับ น.ส.ศศิธารา ด้วย ซึ่งตนก็ได้ขอเอกสารต่างๆ มาซึ่งขณะนี้บางส่วนก็เป็นเอกสารตัวจริงและบางส่วนเป็นสำเนามาให้ ขณะเดียวกัน ในช่วงเช้า น.ส.ศศิธารา ได้รายงานด้วยวาจาให้ทราบแล้ว และจะทำหนังสือชี้แจงตามมา ดังนั้น ตนจะรอคำชี้แจงก่อนที่จะให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย
“จริงๆ เรื่องร้องเรียน น.ส.ศศิธารา ได้มีการตั้งกรรมการสอบไปแล้ว โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการสอบสวน ซึ่งทางปลัดกระทรวงยุติธรรม ก็ได้มีการตั้งอนุกรรมการอีกหลายคน กำลังสอบข้อเท็จจริงอยู่ ศธ.ก็ต้องรอผลการสอบดังกล่าว เพราะความยุติธรรมต้องได้มาซึ่งเอกสารหลักฐานพอสมควรในการที่จะไปตัดสินใคร ส่วนในครั้งนี้ ตนก็คงจะปล่อยให้ความจริงปรากฏ” ศ.ดร.สุชาติ กล่าว
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีข่าวว่า จะให้ย้าย น.ส.ศศิธารา ออกจากตำแหน่งปลัด ศธ.ก่อนนั้น คงเป็นความเห็นของ รมช.ศึกษาธิการ ในส่วนความเห็นของตนนั้น ตนจะให้ความยุติธรรมกับทุกคน เป็นเวลานานมากแล้วที่ฝ่ายการเมืองเข้ามาแล้ว พอมีการกล่าวหาเล็กๆ น้อยๆ ก็ไปย้ายข้าราชการประจำ ตนมองว่า ไม่ยุติธรรม ตนเป็นข้าราชการประจำมาก่อนจึงเข้าใจ และจะเห็นได้ว่า ตนให้เกียรติข้าราชการประจำมาก ถึงแม้บางคนตนจะไม่ชอบแต่ก็จะไม่ไปโยกย้ายเพราะไม่ชอบเขา เพราะตั้งแต่ตนเข้ามาก็ยังไม่ได้โยกย้ายใครเลย และไม่ใช่ทุกคนทำงานได้ดีตามความรู้สึก แต่คนที่เป็นข้าราชการประจำเสียสละชีวิตเวลา และไม่มีใครมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จึงไม่ควรถูกบังคับขู่เข็ญหรือถูกรังแกจากฝ่ายการเมืองซึ่งบางครั้งบินมาจากไหนก็ไม่รู้ อีกอย่าง น.ส.ศศิธารา ก็ถือว่า ย้ายออกมาจาก สอศ.แล้ว
“ ผมหนักแน่นพอที่จะไม่ไปทำตามการกล่าวหาเหล่านั้น และก็เชื่อเสมอว่า ใครทำกรรมไว้เมื่อไหร่ก็ตามต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น ทุกอย่างมีกฎแห่งกรรมของมัน ใครทำธรรมอะไรไว้เมื่อไหร่ในที่สุดก็ต้องรับผลแห่งกรรมนั้น จะช้าเร็วก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวเองจะเข้าไปชะลอมากน้อยแค่ไหน ช่วงที่ผมเข้ามาทำหน้าที่ รมว.ศธ.ก็มีการว่าร้ายข้าราชการประจำหลายคน แต่ก็ไม่เคยย้ายใครเลยผมก็ให้เหตุผลว่าข้าราชการซี 11 ทั้ง 5 คน ทำงานได้ดี ตั้งใจทำงาน ไม่เห็นมีทีท่าว่า คนเหล่านั้นตั้งใจทำผิดกฏหมาย ตั้งใจยักยอก เพราะฉะนั้น ใครจะมาบอกให้ผมทำอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้ ผมเองมีตา มีวิจารณญาณ และใช้หลักคุณธรรมขั้นสูง เรียกว่า หลักขงจื้อ ผมจะมาทำตามความรู้สึกนึกคิดของคนธรรมดา ซึ่งยังไม่ผ่านคุณธรรมขั้นต่ำเลย ผมจะทำไปทำไม เวลาผมมองไปก็รู้ว่าคนไหนดีไม่ดี เพราะฉะนั้น ในส่วนนี้ผมก็จะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ชี้แจงข้อกล่าวหากัน” ศ.ดร.สุชาติ กล่าว
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ศ.ดร.สุชาติ ไม่อยากทำเรื่องนี้เองจึงได้มอบให้ นายประแสง ดำเนินการเรื่องนี้แทนนั้น รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะตนไม่เคยสั่งนายประแสง ทำเรื่องนี้ และตนเองก็ยังแปลกใจว่า นายประแสงเป็นที่ปรึกษาตน แต่ทำไมสามารถทำเรื่องต่างๆ ซึ่งตนไม่ได้สั่ง โดยไม่บอกให้ตนทราบเลย ซึ่งขณะนี้ก็ให้ทนายส่วนตัวไปศึกษาว่าการกระทำทั้งหมดถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แต่ขณะนี้ตนก็ยังไม่พร้อมที่จะไปชี้ใครทำอะไร อย่างไร ทำเกิดอำนาจหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ นายศักดา ได้นัดชี้แจงในเรื่องนี้แล้วแต่ตนยังไม่มีเวลา
“ผมมองว่า การตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงปลัด ศธ.ครั้งนี้ โดยหลักแล้วเมื่อมีปัญหา เพื่อให้เกิดความยุติธรรมก็ต้องสอบข้อเท็จจริงก่อน เหมือนกับที่ผมตั้งปลัดกระทรวงยุติธรรมสอบข้อเท็จจริงปลัด ศธ.ตามที่มีการร้องเรียนว่าทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวะ ในวงเงิน 8,000 ล้านบาท แต่ครั้งนี้มีการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงเลย อันนี้ก็มีการโต้แย้งอยู่ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะหาก คุณศศิธารา ทำผิดก็จะถูกกรรมการชุดที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมสอบวินัยเอง แต่ถ้าไม่ผิดผมยังกังวลแทน เพราะว่าชื่อเสียงคุณศศิธาราเสียไปแล้ว ส่วนที่ รมช.ศธ.สามารถตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงในช่วงรักษาการได้หรือไม่นั้น ผมไม่ขอตอบ และขอไปถามนักกฎหมายก่อน และผมก็สนับสนุนให้คนที่ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของตัวเอง เพราะเวลาผมถูกกล่าวหาผมก็ฟ้องหมิ่นประมาท และเท่าที่ทำงานกับ น.ส.ศศิธารา มา ก็เห็นว่า เป็นคนทำงานดีมาก ฉลาด และเร็ว ในระหว่างที่ทำงานกับ ผมก็ไม่เห็นว่าเขาโกงตรงไหน เพราะโกงต้องมีหลักฐาน”
ด้าน น.ส.ศศิธารา เปิดเผยภายหลังเข้าชี้แจงต่อ รมว.ศธ.ว่า ได้ชี้แจงต่อ รมว.ศึกษาธิการ ถึงเรื่องดังกล่าวว่าเป็นเหตุจากกรณีที่ผู้รับจ้างมาทำเรื่องขอเบิกเงินแต่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่พัสดุตรวจสอบพบว่าเอกสารหาย ก็ได้มีการปรึกษาหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ ฝ่ายพัสดุ ซึ่งแจ้งว่า โดยปกติแล้วเป็นธรรมดาที่เอกสารราชการนั้นจะมีการสูญหาย มีหลายสาเหตุ เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ แต่ในกรณีนี้เมื่อหาเอกสารไม่พบ ทางนิติกรของ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้แนะนำว่า ให้ไปแจ้งความไว้ที่ สน.ดุสิต และให้มีการตั้งกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งตนก็ได้อนุมัติไปตามนั้น ทั้งยังเขียนกำชับไว้ด้วยลายมือในเอกสารว่าต่อไปให้เร่งตรวจสอบแล้วรายงานโดยเร็ว พร้อมกำชับให้ดำเนินการอย่างรอบคอบในครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องรีบร้อนตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงตนในช่วงที่เดินทางไปราชการต่างประเทศกับ รมว.ศธ.ไปได้แค่วันเดียวก็ทราบข่าว มีการแจ้งความและตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกับตน ซึ่งวินัยร้ายแรงน่าจะใช้กับกรณีการทุจริต ทั้งนี้ ระหว่างที่อยู่ต่างประเทศก็ได้สอบถามนายสุชาติ ว่า ทราบเรื่องนี้หรือไม่ แต่ รมว.ศธ.ยืนยัน ไม่ทราบเรื่อง แสดงว่าก่อนที่ นายประแสง จะดำเนินการใดๆ ไม่ได้รายงานให้ รมว.ศธ.ทราบ ก่อน
“ ก่อนตั้งกรรมการสอบวินัย จะต้องมีการตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริงก่อน และต้องมีการแจ้งให้เจ้าตัวทราบหรือเรียกไปสอบถามก่อน แต่นี่กลับทำในช่วงที่ตนไม่อยู่ รู้สึกแปลกว่า ทำไมต้องรีบร้อนดำเนินการ ไปวันเดียวก็ตั้งกรรมการสอบเลย น่าจะรอให้กลับมาก่อน และน่าจะรายงานให้ รมว.ศธ.ทราบก่อน ทำโดยไม่รายงานอย่างนี้ เหมือนไม่ให้เกียรติ รมว.ศธ.ก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น อันที่จริง กรณีนี้ ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ” น.ส.ศศิธารา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างที่มีการสัมภาษณ์ น.ส.ศศิธารา ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตาแดงกร่ำ รวมทั้งระบุว่า รู้สึกน้อยใจที่มีการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงโดยไม่เรียกไปสอบถาม เพราะเหลืออีกเพียงวันเดียว ตนจะกลับมาจากประเทศออสเตรเลียแล้ว และการไปครั้งนี้ก็ไปในฐานะข้าราชการที่ไปทำงานเพื่อประเทศชาติ น่าสงสัยว่าเหตุใดจึงเร่งรีบช่วงที่ตนไม่อยู่ และเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้เกือบทุกครั้ง
เมื่อเวลา 15.00 น. ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณี นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วย ศธ.ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 กรณีเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ภายใต้โครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือ ไทยเข้มแข็ง 2555 เกิดการสูญหายแต่กลับไม่ตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริง และยังมีการอนุมัติงบประมาณ 122.5 ล้านบาท ให้บริษัทเอกชนแทน โดยมี นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เป็นประธานว่า ตนได้รับรายงานผ่านทาง เอสเอ็มเอส ว่า นายประแสง มงคลศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ไปแจ้งดำเนินคดีกับ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในข้อหาดังกล่าว และต่อมาก็ได้ทราบว่า นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาฯ ได้ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง กับ น.ส.ศศิธารา ด้วย ซึ่งตนก็ได้ขอเอกสารต่างๆ มาซึ่งขณะนี้บางส่วนก็เป็นเอกสารตัวจริงและบางส่วนเป็นสำเนามาให้ ขณะเดียวกัน ในช่วงเช้า น.ส.ศศิธารา ได้รายงานด้วยวาจาให้ทราบแล้ว และจะทำหนังสือชี้แจงตามมา ดังนั้น ตนจะรอคำชี้แจงก่อนที่จะให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย
“จริงๆ เรื่องร้องเรียน น.ส.ศศิธารา ได้มีการตั้งกรรมการสอบไปแล้ว โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการสอบสวน ซึ่งทางปลัดกระทรวงยุติธรรม ก็ได้มีการตั้งอนุกรรมการอีกหลายคน กำลังสอบข้อเท็จจริงอยู่ ศธ.ก็ต้องรอผลการสอบดังกล่าว เพราะความยุติธรรมต้องได้มาซึ่งเอกสารหลักฐานพอสมควรในการที่จะไปตัดสินใคร ส่วนในครั้งนี้ ตนก็คงจะปล่อยให้ความจริงปรากฏ” ศ.ดร.สุชาติ กล่าว
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีข่าวว่า จะให้ย้าย น.ส.ศศิธารา ออกจากตำแหน่งปลัด ศธ.ก่อนนั้น คงเป็นความเห็นของ รมช.ศึกษาธิการ ในส่วนความเห็นของตนนั้น ตนจะให้ความยุติธรรมกับทุกคน เป็นเวลานานมากแล้วที่ฝ่ายการเมืองเข้ามาแล้ว พอมีการกล่าวหาเล็กๆ น้อยๆ ก็ไปย้ายข้าราชการประจำ ตนมองว่า ไม่ยุติธรรม ตนเป็นข้าราชการประจำมาก่อนจึงเข้าใจ และจะเห็นได้ว่า ตนให้เกียรติข้าราชการประจำมาก ถึงแม้บางคนตนจะไม่ชอบแต่ก็จะไม่ไปโยกย้ายเพราะไม่ชอบเขา เพราะตั้งแต่ตนเข้ามาก็ยังไม่ได้โยกย้ายใครเลย และไม่ใช่ทุกคนทำงานได้ดีตามความรู้สึก แต่คนที่เป็นข้าราชการประจำเสียสละชีวิตเวลา และไม่มีใครมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จึงไม่ควรถูกบังคับขู่เข็ญหรือถูกรังแกจากฝ่ายการเมืองซึ่งบางครั้งบินมาจากไหนก็ไม่รู้ อีกอย่าง น.ส.ศศิธารา ก็ถือว่า ย้ายออกมาจาก สอศ.แล้ว
“ ผมหนักแน่นพอที่จะไม่ไปทำตามการกล่าวหาเหล่านั้น และก็เชื่อเสมอว่า ใครทำกรรมไว้เมื่อไหร่ก็ตามต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น ทุกอย่างมีกฎแห่งกรรมของมัน ใครทำธรรมอะไรไว้เมื่อไหร่ในที่สุดก็ต้องรับผลแห่งกรรมนั้น จะช้าเร็วก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวเองจะเข้าไปชะลอมากน้อยแค่ไหน ช่วงที่ผมเข้ามาทำหน้าที่ รมว.ศธ.ก็มีการว่าร้ายข้าราชการประจำหลายคน แต่ก็ไม่เคยย้ายใครเลยผมก็ให้เหตุผลว่าข้าราชการซี 11 ทั้ง 5 คน ทำงานได้ดี ตั้งใจทำงาน ไม่เห็นมีทีท่าว่า คนเหล่านั้นตั้งใจทำผิดกฏหมาย ตั้งใจยักยอก เพราะฉะนั้น ใครจะมาบอกให้ผมทำอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้ ผมเองมีตา มีวิจารณญาณ และใช้หลักคุณธรรมขั้นสูง เรียกว่า หลักขงจื้อ ผมจะมาทำตามความรู้สึกนึกคิดของคนธรรมดา ซึ่งยังไม่ผ่านคุณธรรมขั้นต่ำเลย ผมจะทำไปทำไม เวลาผมมองไปก็รู้ว่าคนไหนดีไม่ดี เพราะฉะนั้น ในส่วนนี้ผมก็จะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ชี้แจงข้อกล่าวหากัน” ศ.ดร.สุชาติ กล่าว
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ศ.ดร.สุชาติ ไม่อยากทำเรื่องนี้เองจึงได้มอบให้ นายประแสง ดำเนินการเรื่องนี้แทนนั้น รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะตนไม่เคยสั่งนายประแสง ทำเรื่องนี้ และตนเองก็ยังแปลกใจว่า นายประแสงเป็นที่ปรึกษาตน แต่ทำไมสามารถทำเรื่องต่างๆ ซึ่งตนไม่ได้สั่ง โดยไม่บอกให้ตนทราบเลย ซึ่งขณะนี้ก็ให้ทนายส่วนตัวไปศึกษาว่าการกระทำทั้งหมดถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แต่ขณะนี้ตนก็ยังไม่พร้อมที่จะไปชี้ใครทำอะไร อย่างไร ทำเกิดอำนาจหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ นายศักดา ได้นัดชี้แจงในเรื่องนี้แล้วแต่ตนยังไม่มีเวลา
“ผมมองว่า การตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงปลัด ศธ.ครั้งนี้ โดยหลักแล้วเมื่อมีปัญหา เพื่อให้เกิดความยุติธรรมก็ต้องสอบข้อเท็จจริงก่อน เหมือนกับที่ผมตั้งปลัดกระทรวงยุติธรรมสอบข้อเท็จจริงปลัด ศธ.ตามที่มีการร้องเรียนว่าทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวะ ในวงเงิน 8,000 ล้านบาท แต่ครั้งนี้มีการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงเลย อันนี้ก็มีการโต้แย้งอยู่ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะหาก คุณศศิธารา ทำผิดก็จะถูกกรรมการชุดที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมสอบวินัยเอง แต่ถ้าไม่ผิดผมยังกังวลแทน เพราะว่าชื่อเสียงคุณศศิธาราเสียไปแล้ว ส่วนที่ รมช.ศธ.สามารถตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงในช่วงรักษาการได้หรือไม่นั้น ผมไม่ขอตอบ และขอไปถามนักกฎหมายก่อน และผมก็สนับสนุนให้คนที่ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของตัวเอง เพราะเวลาผมถูกกล่าวหาผมก็ฟ้องหมิ่นประมาท และเท่าที่ทำงานกับ น.ส.ศศิธารา มา ก็เห็นว่า เป็นคนทำงานดีมาก ฉลาด และเร็ว ในระหว่างที่ทำงานกับ ผมก็ไม่เห็นว่าเขาโกงตรงไหน เพราะโกงต้องมีหลักฐาน”
ด้าน น.ส.ศศิธารา เปิดเผยภายหลังเข้าชี้แจงต่อ รมว.ศธ.ว่า ได้ชี้แจงต่อ รมว.ศึกษาธิการ ถึงเรื่องดังกล่าวว่าเป็นเหตุจากกรณีที่ผู้รับจ้างมาทำเรื่องขอเบิกเงินแต่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่พัสดุตรวจสอบพบว่าเอกสารหาย ก็ได้มีการปรึกษาหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ ฝ่ายพัสดุ ซึ่งแจ้งว่า โดยปกติแล้วเป็นธรรมดาที่เอกสารราชการนั้นจะมีการสูญหาย มีหลายสาเหตุ เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ แต่ในกรณีนี้เมื่อหาเอกสารไม่พบ ทางนิติกรของ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้แนะนำว่า ให้ไปแจ้งความไว้ที่ สน.ดุสิต และให้มีการตั้งกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งตนก็ได้อนุมัติไปตามนั้น ทั้งยังเขียนกำชับไว้ด้วยลายมือในเอกสารว่าต่อไปให้เร่งตรวจสอบแล้วรายงานโดยเร็ว พร้อมกำชับให้ดำเนินการอย่างรอบคอบในครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องรีบร้อนตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงตนในช่วงที่เดินทางไปราชการต่างประเทศกับ รมว.ศธ.ไปได้แค่วันเดียวก็ทราบข่าว มีการแจ้งความและตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกับตน ซึ่งวินัยร้ายแรงน่าจะใช้กับกรณีการทุจริต ทั้งนี้ ระหว่างที่อยู่ต่างประเทศก็ได้สอบถามนายสุชาติ ว่า ทราบเรื่องนี้หรือไม่ แต่ รมว.ศธ.ยืนยัน ไม่ทราบเรื่อง แสดงว่าก่อนที่ นายประแสง จะดำเนินการใดๆ ไม่ได้รายงานให้ รมว.ศธ.ทราบ ก่อน
“ ก่อนตั้งกรรมการสอบวินัย จะต้องมีการตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริงก่อน และต้องมีการแจ้งให้เจ้าตัวทราบหรือเรียกไปสอบถามก่อน แต่นี่กลับทำในช่วงที่ตนไม่อยู่ รู้สึกแปลกว่า ทำไมต้องรีบร้อนดำเนินการ ไปวันเดียวก็ตั้งกรรมการสอบเลย น่าจะรอให้กลับมาก่อน และน่าจะรายงานให้ รมว.ศธ.ทราบก่อน ทำโดยไม่รายงานอย่างนี้ เหมือนไม่ให้เกียรติ รมว.ศธ.ก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น อันที่จริง กรณีนี้ ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ” น.ส.ศศิธารา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างที่มีการสัมภาษณ์ น.ส.ศศิธารา ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตาแดงกร่ำ รวมทั้งระบุว่า รู้สึกน้อยใจที่มีการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงโดยไม่เรียกไปสอบถาม เพราะเหลืออีกเพียงวันเดียว ตนจะกลับมาจากประเทศออสเตรเลียแล้ว และการไปครั้งนี้ก็ไปในฐานะข้าราชการที่ไปทำงานเพื่อประเทศชาติ น่าสงสัยว่าเหตุใดจึงเร่งรีบช่วงที่ตนไม่อยู่ และเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้เกือบทุกครั้ง