“วิทยา” สั่ง รพ.ภาครัฐ-เอกชน ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินที่อยู่ในภาวะวิกฤตอย่างไม่มีเงื่อนไข ห้ามปฏิเสธการรักษา หากพบฝ่าฝืนมีความผิดตาม กม.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า นโยบายรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วยฉุกเฉินที่อยู่ในภาวะวิกฤติ ให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานโดยเร็ว เพื่อลดการเสียชีวิตและความพิการ ตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน ถึงแก่ชีวิต ไม่ถามสิทธิ์ ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่น ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นมา ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากโรงพยาบาลเอกชน อย่างไรก็ตามขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งทำความเข้าใจกับประชาชน และเน้นย้ำให้โรงพยาบาลทุกแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน ดูแลผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินให้พ้นขีดอันตราย โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
นายวิทยากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ได้ให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ดูแลให้สถานพยาบาลทุกแห่ง ดำเนินการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายคือพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 ซึ่งสถานพยาบาลจะต้องให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ป่วยที่อยู่ในอันตราย จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างฉุกเฉิน จนพ้นอันตรายตามมาตรฐานทางวิชาชีพและเต็มขีดความสามารถของสถานพยาบาลก่อนส่งต่อ ยกเว้นกรณีที่แพทย์รับรองว่าการส่งต่อจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตหรือความรุนแรงของการเจ็บป่วยของผู้ป่วยได้ ซึ่งโรงพยาบาลทุกแห่งที่มีเตียงรับผู้ป่วย ทั้งรัฐและเอกชนจะมีห้องฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยเบื้องต้น
ทั้งนี้ หากพบว่าโรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน ปฏิเสธไม่รับผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับการรักษา จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 โดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติจะส่งหนังสือให้สถานพยาบาลปฏิบัติตามกฎหมาย ในกรณีโรงพยาบาลเอกชนจะส่งเรื่องให้สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ส่วนโรงพยาบาลรัฐจะส่งเรื่องไปยังหน่วยงานต้นสังกัด รวมทั้งจะส่งเรื่องให้สภาวิชาชีพดำเนินการด้านจริยธรรมกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต่อไป
นายวิทยากล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ปฏิเสธไม่รับผู้ป่วยจมน้ำ ให้ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเกาะช้างที่อยู่ไกลออกไป 20 กิโลเมตร โดยอ้างว่าไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอ ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตราด และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายต่อไป
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า นโยบายรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วยฉุกเฉินที่อยู่ในภาวะวิกฤติ ให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานโดยเร็ว เพื่อลดการเสียชีวิตและความพิการ ตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน ถึงแก่ชีวิต ไม่ถามสิทธิ์ ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่น ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นมา ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากโรงพยาบาลเอกชน อย่างไรก็ตามขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งทำความเข้าใจกับประชาชน และเน้นย้ำให้โรงพยาบาลทุกแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน ดูแลผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินให้พ้นขีดอันตราย โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
นายวิทยากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ได้ให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ดูแลให้สถานพยาบาลทุกแห่ง ดำเนินการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายคือพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 ซึ่งสถานพยาบาลจะต้องให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ป่วยที่อยู่ในอันตราย จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างฉุกเฉิน จนพ้นอันตรายตามมาตรฐานทางวิชาชีพและเต็มขีดความสามารถของสถานพยาบาลก่อนส่งต่อ ยกเว้นกรณีที่แพทย์รับรองว่าการส่งต่อจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตหรือความรุนแรงของการเจ็บป่วยของผู้ป่วยได้ ซึ่งโรงพยาบาลทุกแห่งที่มีเตียงรับผู้ป่วย ทั้งรัฐและเอกชนจะมีห้องฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยเบื้องต้น
ทั้งนี้ หากพบว่าโรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน ปฏิเสธไม่รับผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับการรักษา จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 โดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติจะส่งหนังสือให้สถานพยาบาลปฏิบัติตามกฎหมาย ในกรณีโรงพยาบาลเอกชนจะส่งเรื่องให้สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ส่วนโรงพยาบาลรัฐจะส่งเรื่องไปยังหน่วยงานต้นสังกัด รวมทั้งจะส่งเรื่องให้สภาวิชาชีพดำเนินการด้านจริยธรรมกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต่อไป
นายวิทยากล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ปฏิเสธไม่รับผู้ป่วยจมน้ำ ให้ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเกาะช้างที่อยู่ไกลออกไป 20 กิโลเมตร โดยอ้างว่าไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอ ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตราด และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายต่อไป