“แพทย์ชนบท” หวั่น กม.คุมเหล้า 3 ฉบับแท้ง หลังถูกบีบจากบริษัทเหล้า แฉบิ๊กน้ำเมายักษ์ใหญ่ดิ้นขอเข้าร่วมประชุมนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ขณะเครือข่ายต้านน้ำเมา เตรียมบุกทำเนียบ หนุนบังคับใช้กฎหมาย แนะคณะกรรมการฯ วางตัวเป็นกลางยึดประโยชน์ประชาชน
จากกรณีร่างประกาศตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 จำนวน 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างประกาศห้ามขายและห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโรงงาน อุตสาหกรรม 2. ร่างประกาศห้ามขาย ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของ รัฐ 3. ร่างประกาศห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรถยนต์ทุกประเภททั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร รวมทั้งท้ายรถกระบะ จะมีการพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ โดยมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้
วันนี้ (13 พ.ค.) เรื่องดังกล่าว นพ.พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าวว่า หากกฎหมายทั้ง 3 ฉบับนี้สามารถประกาศบังคับใช้ได้นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ก็อาจจะโดนเตะสกัดจากนายหน้าค้าความตายหรือบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ที่มีอิทธิพลใช้เส้นสายอำนาจกดดันไม่ให้ลงมติ มาตรการดังกล่าวอาจจะแท้งเหมือนครั้งที่ผ่านมาก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นสังคมคงมองว่ากรรมการบอร์ดชุดนี้เป็นลูกจ้างของบริษัทเหล้า ทั้งนี้ ตนทราบมาว่ามีบริษัทเหล้ากลุ่มหนึ่งพยายามขอเข้ารับฟังการประชุมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องไม่ควรอย่างยิ่ง ควรถึงเวลาที่บริษัทเหล้าต้องเสียสละบ้าง ไม่ใช่คิดแต่กอบโกยบนความเสื่อมของสังคม ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องประโยชน์ของตัวเอง และเชื่อว่าคณะกรรมการชุดนี้คงไม่ทำตามที่ฝ่ายน้ำเมาร้องขอ อย่างไรก็ตาม ขอฝากถึงรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานบอร์ด ให้ท่านตัดสินใจเด็ดขาด เพื่อให้กฎหมายเป็นเครื่องมือปกป้องลูกหลานของเราและประเพณีที่ดีงาม
นพ.พงษ์เทพกล่าวด้วยว่า ส่วนประเด็นที่กังวลว่าหากมีการควบคุมหรือบังคับใช้กฎหมายนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่อยากเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยนั้น ตนกลับมองว่าจะเป็นการดีต่อประเทศมากกว่า เนื่องจากประเทศไทยมีการดื่มมากเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย และเป็นการดื่มแบบไร้ระเบียบวินัย ซึ่งมีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุสูง การป้องกันต้องออกกฎหมายควบคุมสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศ และจำเป็นต้องมีการควบคุมให้มากขึ้นในเรื่องของวินัยการดื่มไม่ใช่อยากดื่มที่ไหนก็ดื่มเพราะจะทำให้เด็กเกิดการเลียนแบบ ขณะเดียวกัน ตนอยากให้มีการจำกัดพื้นที่การดื่มและขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มากกว่านี้ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าอุบัติเหตุจากการทำงานและบนท้องถนน รวมถึงการทะเลาะวิวาทและก่อเหตุความรุนแรงต่างๆ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการเมา นอกจากนี้ ในงานวิจัยยังพบว่า ชายวัยทำงานอายุ 40-60 ปีเสียชีวิตมากกว่าหญิงวัยเดียวกันถึง 2.5 เท่าโดยส่วนใหญ่เสียชีวิตด้วยโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ จากการสอบสวนโรคย้อนหลังพบว่ามีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่วัยรุ่น ดังนั้น รัฐบาลควรจริงจังบังคับใช้กฎหมายด้วย ส่วนอีกสามเดือนจะเสนอร่างห้ามขายห้ามดื่มบนถนนและทางสาธารณะเข้ามาอีกครั้ง ก็ควรต้องรีบทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
ด้าน นายธงชัย ยงยืน แกนนำเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคเหนือตอนบน กล่าวว่า ในวันที่ 16 พ.ค.เวลา 14.00 น. ทางเครือข่ายองค์กรงดเหล้าทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศจะเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล ขอเข้าพบคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เพื่อสนับสนุนและให้กำลังใจ ก่อนมีการเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าคณะกรรมการทุกท่านมีวุฒิภาวะมากพอที่จะวางตัวเป็นกลาง อย่าเอนเอียงหรือเกรงใจธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ควรเห็นผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยมาก่อนความปลอดภัยของประชาชนทั้งประเทศ รัฐบาลต้องมีความกล้าหาญทางจริยธรรมและเลือกยืนข้างความถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้ประชาชนได้ประโยชน์ชัดเจน