“ธีระชน” แนะปล่อยน้ำ 2 เขื่อนใหญ่ภูมิพล-สิริกิติ์ กฟผ.ต้องประสานกรมชลฯ-กรมอุทกศาสตร์ และต้องมีผู้เชี่ยวชาญชี้แจงปชช. ไม่ให้ตื่นตระหนกไม่ใช่ปล่อยให้พูดอย่าง “ปลอดประสพ”
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล ในฐานะที่ตนอยู่ในคณะทำงานบริหารจัดการการระบายน้ำในพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรงของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) และในฐานะวิศวกรโยธา ว่า สำหรับการจัดสรรน้ำ คือการปล่อยน้ำเขื่อนใหญ่ทั้ง 2 เขื่อน คือ เขื่อนภูมิพล และ เขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งมีผลต่อพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิจารณาทั้งพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ดังนั้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกรมชลประทาน ในการตรวจสอบปริมาณน้ำค้างทุ่ง และกรมอุทกศาสตร์ ในการคาดการณ์ระดับน้ำทะเล ว่าจะหนุนสูงหรือต่ำในช่วงเวลาใด เพราะจะมีผลต่อการควบคุมประตูระบายน้ำตลอดเส้นทาง รวมทั้งพิจารณาพื้นที่บริเวณแก้มลิงและพื้นที่ปากอ่าว ว่าเวลาใดควรเร่งปิดประตูระบายน้ำ หรือเร่งสูบน้ำออก
นายธีระชน กล่าวต่อว่า ที่สำคัญสิ่งที่ยากที่สุด คือ การคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนที่จะตก ซึ่งต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่มีวาทศิลป์ มาชี้แจงให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก ต้องพูดแบบมีเหตุผล เพราะหากพูดอย่างนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประชาชนจะตกใจได้ เนื่องจากที่จริงแล้วพายุที่พัดเข้าสู่ประเทศไทย เฉลี่ยปีละ 1-2 ลูก ไม่ใช่ 20-30 ลูก ซึ่งเป็นจำนวนที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด ดังนั้นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้ข้อมูล ไม่เช่นนั้นจะเสียผู้ใหญ่ และต่อไปผู้ฟังจะไม่เชื่อถือ หากพูดผิดซ้ำซาก
“หากคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) รู้ตัวว่าแผนบริหารจัดการน้ำผิด ก็อยากให้รีบแก้ไข เพราะการทัวร์รอบนี้ของรัฐบาล ถือว่าสอบตกตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ ดังนั้นควรจะซ่อมก่อนที่จะเข้าเฝ้า ผมจึงอยากให้มีการทบทวนและเตือนสติ คนเราผิดๆได้แต่ผิดแล้วต้องแก้ไข และอยากให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ออกข้อสอบให้นักศึกษาตอบคำถามว่าหากมีการกั้นคลองรพีพัฒน์ ความสูง 3.5 เมตร จะเกิดแรงดันเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถตอบได้ เพราะทุกอย่างเป็นฟิสิกส์ที่สามารถคำนวณผลที่จะเกิดได้ทั้งหมด” นายธีระชน กล่าว
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล ในฐานะที่ตนอยู่ในคณะทำงานบริหารจัดการการระบายน้ำในพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรงของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) และในฐานะวิศวกรโยธา ว่า สำหรับการจัดสรรน้ำ คือการปล่อยน้ำเขื่อนใหญ่ทั้ง 2 เขื่อน คือ เขื่อนภูมิพล และ เขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งมีผลต่อพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิจารณาทั้งพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ดังนั้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกรมชลประทาน ในการตรวจสอบปริมาณน้ำค้างทุ่ง และกรมอุทกศาสตร์ ในการคาดการณ์ระดับน้ำทะเล ว่าจะหนุนสูงหรือต่ำในช่วงเวลาใด เพราะจะมีผลต่อการควบคุมประตูระบายน้ำตลอดเส้นทาง รวมทั้งพิจารณาพื้นที่บริเวณแก้มลิงและพื้นที่ปากอ่าว ว่าเวลาใดควรเร่งปิดประตูระบายน้ำ หรือเร่งสูบน้ำออก
นายธีระชน กล่าวต่อว่า ที่สำคัญสิ่งที่ยากที่สุด คือ การคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนที่จะตก ซึ่งต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่มีวาทศิลป์ มาชี้แจงให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก ต้องพูดแบบมีเหตุผล เพราะหากพูดอย่างนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประชาชนจะตกใจได้ เนื่องจากที่จริงแล้วพายุที่พัดเข้าสู่ประเทศไทย เฉลี่ยปีละ 1-2 ลูก ไม่ใช่ 20-30 ลูก ซึ่งเป็นจำนวนที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด ดังนั้นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้ข้อมูล ไม่เช่นนั้นจะเสียผู้ใหญ่ และต่อไปผู้ฟังจะไม่เชื่อถือ หากพูดผิดซ้ำซาก
“หากคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) รู้ตัวว่าแผนบริหารจัดการน้ำผิด ก็อยากให้รีบแก้ไข เพราะการทัวร์รอบนี้ของรัฐบาล ถือว่าสอบตกตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ ดังนั้นควรจะซ่อมก่อนที่จะเข้าเฝ้า ผมจึงอยากให้มีการทบทวนและเตือนสติ คนเราผิดๆได้แต่ผิดแล้วต้องแก้ไข และอยากให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ออกข้อสอบให้นักศึกษาตอบคำถามว่าหากมีการกั้นคลองรพีพัฒน์ ความสูง 3.5 เมตร จะเกิดแรงดันเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถตอบได้ เพราะทุกอย่างเป็นฟิสิกส์ที่สามารถคำนวณผลที่จะเกิดได้ทั้งหมด” นายธีระชน กล่าว
